Thursday, November 7, 2013

คุณค่าจากบทสนทนา

ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนอยู่มัธยม เพื่อนผมคนนี้เป็นถึงประธานนักเรียน ด้วยความที่เป็นคนเรียนเก่งและความประพฤติดีมาโดยตลอด
หลังจากจบ ม.6 เพื่อนผมก็เลือกเรียนคณะวิทยาศาสตร์สาขา micro biology ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
เค้าเป็นคนที่ชอบเรียนวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะวิชาชีวะวิทยา และคุณแม่ก็ปลูกฝังให้เรียนสายวิทย์มาตลอด
แต่แล้วสุดท้าย ว่าที่นักวิทยาศาสตร์คนนี้ กลับผันชีวิตตัวเอง กลายมาเป็นช่างถ่ายภาพฝีมือดีคนหนึ่งของเมืองไทย ทำไมถึงเป็นแบบนี้?

เรามาดูกัน!!

ผม : เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเลือกมาถ่ายรูป?

เพื่อน : ตอนแรกที่เรียนคณะวิทยาศาสตร์ ก็สนุกดีนะ แต่พอมาถึงจุดหนึ่งที่ต้องเลือกว่า เราจะสามารถทำงานนี้ไปตลอดชีวิตได้มั๊ย? คำตอบคือ ไม่ได้!!!
เพราะคิดว่าเราไม่สามารถอยู่ในห้องแลบทั้งวันไปตลอดชีวิตได้ เลยตัดสินใจหาอย่างอื่นทำแทน ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้จักการใช้กล้องเลยด้วยซ้ำ

ผม : แล้วอะไรถึงชักนำเรามาทางนี้ได้?

เพื่อน : ความบังเอิญนะ!! ลองทำหลายๆอย่าง ไปฝึกงานฟรีๆก็มี ไปลองเรียนรู้งาน แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เคยฝึกงานที่ห้าง ได้เจอเพื่อนเก่าที่เรียนคณะสถาปัตย์
เลยได้ลองเรียนรู้จากเพื่อน และนี่คือจุดเริ่มต้นที่เริ่มรู้จักการใช้กล้อง

แต่ก็ยอมรับนะว่าตอนแรกๆ ทำเพราะไม่รู้จะทำอะไร ก็แค่ถ่ายรูปฆ่าเวลาสนุกๆเพราะตกงาน นอกจากวิทยาศาสตร์ ก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะทำอะไรที่มันได้เงิน
เพราะตอนเรียนจบ ดันไปปากดีบอกกับแม่ว่า จะไม่ขอเงินแม่ใช้ จะหาด้วยตัวเอง ทีนี้ มันก็ต้องดิ้นรนไง

พอถ่ายไปเรื่อยๆเริ่มติดใจ และก็คงโชคดีที่มีคนมาชอบผลงานของเรา ก็เลยเริ่มรับงานถ่ายรูป และก็ค่อยๆมีงานเข้ามาเรื่อยๆ
แรกๆก็เห็นว่าคนเค้าชอบจ้างถ่ายรูปรับปริญญากัน ได้เงินนิดๆหน่อยๆ เราก็เริ่มมาจากตรงนั้นแหล่ะ

ผม : แล้วจนถึงวันนี้ คิดว่าตัดสินใจถูกมั๊ย ที่เลือกเป็นช่างภาพ?

เพื่อน : โห ถูกมาก!!! รู้สึกรักงานถ่ายภาพมาก ถ้าเราทำงานที่เรารัก เราก็จะไม่รู้สึกเหมือนว่าเราทำงานอยู่ รู้สึกสนุกทุกครั้งที่ออกไปถ่ายรูป

ผม : อืม แต่ขึ้นชื่อว่างาน ทุกงานก็น่าจะต้องเจออุปสรรคบ้าง แล้วถ่ายรูปนี่เคยเจอปัญหาหนักๆบ้างมั๊ย?

เพื่อน : มีนะ แต่ละสายงานมันก็ยากง่ายต่างกัน เริ่มจากถ่ายรูปงานรับปริญญา สายงานนี้ไม่ยากมาก ไม่ค่อยเครียด แต่ปัญหาเคยเกิดตอนที่รับงานติดๆกันจนไม่ได้พัก
สุดท้ายร่างกายไม่ไหว นั่งๆอยู่สลบไปเลย ไม่รู้ตัว น่าจะเป็นเพราะเหนื่อยสะสมนะ

แต่พอเริ่มรับสายงานอื่นเพิ่ม เริ่มถ่ายแมกกาซีน ไม่เหนื่อย แต่กดดันมาก อย่างถ่ายดาราฮอลลีวู้ดหรือทายาทมหาเศรษฐีที่บินมาเมืองไทยบางคน มีเวลาให้แค่ 5 นาที
เพราะเค้าต้องไปทำธุระต่อ เราก็ต้องถ่ายให้สวยที่สุด ในเวลาที่จำกัดแบบนี้หล่ะ

สายงานต่อมาคือ ถ่ายงานโฆษณา อันนี้ ทั้งเยอะ และเครียด ตั้งแต่คิดงานละ ว่าต้องเสนอความคิดยังไงให้ลูกค้าซื้องาน และจะถ่ายยังไงให้ทัน และออกมาดีด้วย
สรุปคือแต่ละสายงาน มันก็มีความยากง่ายที่ต่างกันออกไป

จากบทสนทนาระหว่างผมและเพื่อนก็สรุปมาได้ประมาณนี้

ในมุมมองของผม ผมได้สรุป “คุณค่า” ที่ได้รับจากบทสนทนานี้เอาไว้ 4 ข้อ

ข้อที่1. สิ่งที่ได้เรียนรู้จากบทสนทนานี้คือ “การค้นหาตัวเอง” เริ่มมาจาก “การตั้งคำถาม” กับตัวเอง ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นใช่หรือยัง
ถ้าคำตอบคือยังไม่ใช่ ก็ให้เราเดินออกจากจุดเดิม มาเปิดหูเปิดตา เดินออกมาสู่โลกกว้างในมุมมองใหม่ๆ ได้ลองทำในสิ่งใหม่ๆ เพื่อค้นหาตัวเองให้เจอ

ข้อที่2. หลายคนมองสิ่งที่ไม่เคยทำ สิ่งที่ไม่เคยเรียนมา สิ่งที่ชีวิตนี้ไม่เคยได้สัมผัส ว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จนกลายเป็นศัตรูตัวร้าย ที่ตีกรอบให้กับชีวิตของตัวเอง
ว่า “เราทำไม่ได้หรอก เพราะเราไม่ได้เรียนมา หรือเราไม่เคยทำ”

“เปิดใจ” และยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ แล้วชีวิตคุณจะได้เจอหนทางที่หลากหลาย เชื่อผมเถอะครับ มัวแต่อยู่ในกรอบ อยู่แต่ในกะลา
มันก็ได้แค่ คุณค่าแค่ในกรอบ คุณค่าแค่ในกะลา ตามนั้นแหล่ะครับ

ข้อที่3. เมื่อเราได้ค้นพบสิ่งที่ใช่สำหรับเราแล้ว ก็จงตั้งใจทำให้ดีที่สุด และจงมุ่งมั่นที่จะ ”พัฒนาตัวเอง” อยู่เสมอ อย่าได้จมอยู่กับที่ “คนเราอย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง” เพราะความรู้บนโลกใบนี้มันไม่มีที่สิ้นสุด และเมื่อไหร่ที่เราพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ คุณจะรู้สึกถึง ”คุณค่า” ในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ”มากขึ้น” เช่นกัน

ข้อที่4. ขึ้นชื่อว่า “งาน” ย่อมต้องลงแรงหรือไม่ก็ต้องลงความคิด ย่อมต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปมองหางานที่มันไม่เหนื่อย เพราะมันไม่มีในโลก
การที่เราได้ทำงานที่เรารัก ต่อให้ความรักในงานนั้นจะช่วยลดความเหนื่อยลงไปไม่ได้ แต่อย่างน้อย คุณก็มั่นใจได้ว่า
คุณได้เหนื่อยอย่างมี ”ความสุข” เพียงเท่านี้ ชีวิตคุณก็มีค่าแล้ว ใช่มั๊ยครับ


ในช่วงเวลาที่เค้าต้องออกมาดิ้นรนค้นหาตัวเอง ปากกัดตีนถีบ ยืมเงินคนอื่นกินข้าวบ้าง ท้อแท้บ้าง
แต่สุดท้าย เมื่อได้เจอทางที่ใช่แล้ว และได้ทำมันอย่างเต็มที่ ทุกอย่างที่เข้ามาทดแทน คือ ความรัก และ ความสุข
ดังนั้น ผมเชื่อว่า เค้าคงไม่เสียดายเวลาที่เค้าต้องเสียไปกับช่วงชีวิตที่เลวร้ายเลยแม้แต่น้อย เพราะช่วงชีวิตที่เลวร้ายทั้งหมดนี้
ได้สร้าง “คุณค่า” ให้แก่ชีวิตของเค้า อย่างที่ใครๆหลายคนไม่มีและกำลังตามหากันอยู่

“ไม่มีใคร ประสบความสำเร็จ ได้ด้วยความบังเอิญ”

ขอบคุณบทสนทนาดีๆจากเพื่อนของผม ที่ทำให้ผมนำมาแบ่งปันความคิด ต่อยอดให้เพื่อนมนุษย์นำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป

Sunday, October 27, 2013

ชีวิต คือ การลงทุน

หากพูดถึงคำว่า "การลงทุน" ในมุมมองของผมจะหมายถึง

"การกระทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้ผลตอบแทนกลับมาอย่างน่าพอใจ ไม่ว่าผลตอบแทนนั้นจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม"

คนส่วนใหญ่มักจะมองที่ผลตอบแทนในรูปแบบของ "เงิน" เป็นหลัก 
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผลตอบแทนหลักที่ดีจริงๆ ควรเป็น "ความสุข" ต่างหาก

การไปเที่ยวพักผ่อน คือการลงทุน เพราะคุณต้องไป ถึงจะได้ความสุข ได้ประสบการณ์ ได้ความสนุกกลับมาจากทริปนั้น

การอ่านหนังสือ การสะสมของ การทำงาน การออกกำลังกาย การไปเรียน การฟังอบรม .......
ทุกๆอย่างคือการลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนอะไรสักอย่างกลับคืนมา

ทุกๆการกระทำ จะได้รับผลตอบแทนกลับมาในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายแข็งแรง รูปร่างดี ฉลาดขึ้น พูดได้เพิ่มอีกหนึ่งภาษา มีรายได้เสริม เป็นที่รู้จักมากขึ้น .........

สุดท้ายแล้วทุกๆผลตอบแทนนั้นล้วนแล้วแต่เพื่อตอบโจทย์ของคุณคือ เพื่อ "ความสุข"

ประเด็นที่ผมอยากจะบอกก็คือ

คิดจะทำอะไรสักอย่าง ให้ตั้ง "ความสุข" เป็นหลัก แล้วค่อยมองย้อนกลับมาว่าวิธีการคืออะไร เพราะนั่นจะทำให้คุณรู้ตัวอยู่ตลอดว่า ขนาดไหนที่เรียกว่า หย่อนเกินไป หรือ ตึงเกินไป

สุดท้ายแล้วพอคุณมีความสุขกับสิ่งที่คุณทำ คุณรักในสิ่งที่ทำ คุณก็จะสามารถทำสิ่งนั้นได้ดี และจะดีขึ้นไปเรื่อยๆอีก เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ผลตอบแทนอื่นๆ จะทยอยตามมาเองโดยอัตโนมัติ

ตอนนี้ผมมีความสุขมากกว่าเดิม ทั้งๆที่ผมตัดสินใจปฏิเสธเงินเดือนครึ่งแสน มารับเพียง 15,000 บาท เพราะงานในตอนนี้ทำให้ผมมองเห็นความก้าวหน้าและพัฒนาการที่ดีได้

ตอนนี้ผมมีความสุขมากกว่าเดิม แม้ว่างานปัจจุบันผมต้องทำงานแทบจะไม่มีวันได้หยุดเลยก็ตาม 

เหตุผลคือ งานส่วนใหญ่ที่ผมทำ มันคือ การพักผ่อนในแบบของผมนี่เอง ไม่ว่าจะเป็น การเขียนบทความการลงทุนให้คอลัมน์ใน magazine(ผมชอบเขียน ชอบอ่าน เลยทำให้สนุก), การคิดไอเดียงานที่แปลกใหม่ให้ลูกค้า(ผมชอบใช้ความคิด เหมือนเล่นเกมฝึกสมอง), การแต่งเพลง(แน่นอน ผมหลงรักในดนตรี), การลงทุน(แทบจะหลงรักเข้าเส้นเลือด)
และงานอื่นๆอีกมากมายที่ยังไม่ได้พูดถึงเช่นกัน

จะเห็นว่าผมทำงานหลายอย่างมาก แต่ทุกอย่างที่ผมเลือกทำ เป็นงานที่ผมรักและมีความสุขกับมัน 

ผมเลือก "ความสุข" มาก่อน "เงิน" 

อ่านมาถึงตรงนี้ อยากจะบอกว่าผมไม่ได้จะมาโลกสวย และไม่ได้บอกว่าเงินไม่สำคัญ แต่ที่ยกตัวอย่างให้เห็นคือ นอกจาก"เงิน"แล้ว ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามันยังมีรูปแบบอื่นอีกมากมาย เพียงแต่คุณจะมองเห็นมันรึเปล่า

และตอนนี้ผมก็มีความสุขมากกว่าเดิม เพราะ เดิมทีจาก "เงิน" ที่ผมให้ความสนใจเป็นรอง ตอนนี้มันกำลังกลับมาหาผมเองโดยอัตโนมัติจากสิ่งที่ผมเลือกทำทั้งหมด

เงินมันวิ่งเข้าหาคนที่มีปัญญา และเงินมันจะคงอยู่และงอกเงยต่อไปได้เมื่ออยู่กับคนที่มีปัญญาเช่นกัน ดังนั้นจงเลือกทำในสิ่งที่จะพัฒนาปัญญาและความสามรถของตัวเองได้ เดี๋ยวเงินมันก็ตามมาเอง ลองคิดดีๆนะครับ

แหม่ พูดซะดูดี เชื่อผมมั๊ย? ....................ไม่เชื่อ!!! ทำไงหล่ะ 

ก็ต้องลองทำดูสิครับ พูดมาได้ 555 เพราะผมลองมากแล้วนี่ไง ถึงเอามาเล่าให้ฟัง ถ้าไม่ลองจะรู้ได้ไง จริงมั๊ย?

กำลังใจ จาก "บุคคล"

คุณเคยลองถามตัวเองดูมั๊ยว่า

ทุกวันนี้ที่คุณต้องอดทนทำงานอย่างหนัก ต้องยอมเจอปัญหามากมาย
ต้องประหยัด ต้องขยัน ต้องอดหลับอดนอน ต้อง......เพื่อใคร?

หากคุณมี "คำตอบ" นั่นแปลว่า คุณมี "เป้าหมาย"

คุณไม่จำเป็นต้องไปบอกบุคคลเหล่านั้นหรือใครบนโลกนี้ให้รับรู้

คุณบอกกับ"ตัวเอง" ให้รับรู้และเข้าใจก็พอแล้ว

เพราะบุคคลเหล่านั้น
คือ "เป้าหมายที่ชัดเจน"
และเป็น "กำลังใจที่สำคัญ"

สำหรับผม วันนี้ผมมี"เป้าหมาย"ที่ชัดเจนแล้ว
สำหรับผม วันนี้ผมมี"กำลังใจ"ที่ดีแล้ว

และนั่นทำให้ผมมุ่งมั่นที่จะพยายามมากกว่าคนอื่นๆ 
ยอมที่จะขยันทำงานมากกว่าคนอื่น 
ยอมอดทนและลำบากมากกว่าคนอื่น 

แล้วพวกคุณหล่ะ หาสิ่งเหล่านี้เจอหรือยัง?

Thursday, October 24, 2013

บ้าหุ้น ทุนน้อย ร้อยสไตล์

จริงอยู่การเล่นหุ้นหรือลงทุนในหุ้น(แล้วแต่จะเรียก) มีวิธีเป็นร้อยๆ แต่สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่า วิธีนั้นเหมาะสมกับ ตัวคุณหรือไม่

ซึ่งการที่จะหาวิธีที่เหมาะสมได้ นอกจากการเลือกวิธีที่คุณถนัดแล้วมันก็ต้องวิเคราะห์จากไลฟ์สไตล์ของคุณเองด้วย

ขอยกตัวอย่างเป็นวิธีที่ผมใช้สักหนึ่งตัวอย่างละกัน

ผมเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเก็บของผม ผมได้แบ่งส่วนการลงทุนไว้ดังนี้ คือ ลงทุนยาวในหุ้นเติบโตและปันผลดีๆ 50% และไว้สำหรับเทรดระยะสั้นแนว technical 50% หรืออย่างละครึ่งนั่นเอง ซึ่งผมตั้งไว้ว่าหุ้นที่จะลงทุนในระยะยาวตอนแรก คงลงทุนไม่เกิน 2-3 ตัว แล้วถ้าอนาคตเงินเพิ่มขึ้นค่อยดูว่าจะเพิ่มจำนวนหุ้นดีมั้ยอีกที เช่นกัน วิธีเล่น technical ผมก็จะไม่ใส่เงินทั้งหมดไปในหุ้นตัวเดียว ผมจะแบ่งเล่น 2-3 ตัวเช่นกัน

สิ่งสำคัญในวิธีของผม คือ

1.       หุ้นที่ผมลงทุนระยะยาว นอกจากการวิเคราะห์พื้นฐานและราคาที่เหมาะสมแล้ว เวลาผมจะซื้อ ผมก็ใช้วิธีทาง technical มาช่วยในการหาจังหวะเข้าด้วยอยู่ดี

2.       กำไรจากการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นเงินปันผลจากหุ้นที่ลงทุนระยะยาว หรือ capital gain จากการเทรดระยะสั้น ผมจะไม่นำออกมาใช้ แต่จะเอาไว้เป็นทุนเพิ่มเติมในหุ้นที่จะลงทุนระยะยาวต่อไปเรื่อยๆ

3.       ผมเก็บเงินจากรายได้ทั้งหมด แบ่งส่วนไว้สำหรับลงทุนในหุ้นทุกๆเดือนอย่างสม่ำเสมอ


และนี่คือวิธีคร่าวๆของผม เมื่อถึงจุดหนึ่งที่พอร์ตโตขึ้น สัดส่วนต่างๆผมอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสม เช่น ผมอาจเปลี่ยนเป็น ลงทุนระยะยาว 70% ของพอร์ต และเทรดระยะสั้น 30% ของพอร์ต เป็นต้น


แล้วพวกคุณหล่ะครับ มีวิธีกันอย่างไรบ้าง?

Sunday, October 20, 2013

Technical style

ช่วงวันหยุด ผมใช้เวลาว่างในวันนี้ลองนั่งทำการบ้านทบทวนเรื่องของ Technical ที่ห่างหายมานานจนเกือบจะลืม
(นานๆจะแตะต้องหุ้นที เพราะหุ้นในพอร์ตตอนนี้มีแต่หุ้นที่ลงทุนแบบ VI เลยไม่ค่อยได้ดูกระดานบ่อยนัก)
ปกติแล้ว เล่นแนว technical นั้น มีหลายเครื่องมือมั่กมากกกกกกกก จะใช้ตัวไหนมันขึ้นอยู่กับว่าคุณถนัดเครื่องมือตัวไหนที่สุดนั่นแหล่ะ เอาหล่ะครับ ลองมาดูกัน ผมจะลองรวบรวมเครื่องมือบางอย่างมาใช้ให้ดูคร่าวๆละกัน ผมจะพยายามอธิบายถึงสไตล์และวิธีการใช้เครื่องมือแต่ละอันแบบหลากหลายหน่อยละกัน เพราะแต่ละวิธีแต่ละเครื่องมือถ้าใครถนัดแบบไหนและรู้จริงแบบไหน เอามาใช้มันก็ย่อมได้ผลที่ดีทั้งนั้น (ทำเงินได้เหมือนกันนั่นแหล่ะ)

(หมายเหตุ)
  1. ปกติก่อนเล่นจริงผมจะดูกราฟ SET INDEX ก่อนว่าแนวโน้มยังเป็นขาขึ้นอยู่หรือเปล่า (เพื่อป้องกันตัวหรือลดความเสี่ยงลง เนื่องจากมีผลต่อจิตวิทยาพอสมควร ถ้าเป็นขาขึ้นอยู่ ก็น่าเล่น แต่ถ้า SET INDEX เป็นขาลง ไม่ใช่ว่าเล่นไม่ได้นะ เล่นได้แต่อาจจะเล่นได้ลำบากกว่าเดิมแค่นั้นแหล่ะ)

  2.เพิ่มเติมจากข้อที่1. หุ้นส่วนใหญ่ที่ผมเลือกมักจะอยู่ใน SET50 ไม่ก็ SET100 ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นผมจะดูกราฟ SET50 และ SET100 เพื่อดูแนวโน้มควบคู่กันไปด้วย 

  3.ทุกครั้งที่ผมดูกราฟ ไม่ว่าจะ SET INDEX, SET100, SET50, INDUSTRY, หรือหุ้นรายตัว ผมจะเริ่มดูจาก TIME FRAME ที่กว้างกว่าเดิม เพื่อดูแนวโน้มภาพใหญ่ก่อนเสมอ เช่น ผมใช้กราฟ DAY ในการเล่น ผมก็จะดู กราฟWEEKเพื่อดูแนวโน้มในภาพใหญ่กว่าก่อนเสมอว่ายังคงเป็นขาขึ้นหรือเปล่า เหตุผลเดียวกันก็คือ จะได้เล่นได้ง่ายขึ้นกว่าเล่นตอนแนวโน้มขาลงนั่นเอง


เอาหล่ะทีนี้มาดูกัน ผมขอข้ามขั้นตอนในหมายเหตุทั้ง3ข้อไปเลยนะครับ อันนั้นให้ไปใช้เองตอนจะเล่นจริง รอบนี้ผมขอเริ่มที่ TIME FRAME DAY ที่จะใช้เทรดจริงเลยนะครับ ผมจะเน้นที่วิธีการใช้เครื่องมือแต่ละตัวแทน

















    

      ทีนี้มาดูเป็นช่วงๆ สังเกตุที่ตัวเลขสีแดงนะครับ

      ช่วงที่ 1. ผมเรียกว่าจุดเข้าซื้อ เพราะ ราคาตัดเส้น EMA ขึ้นมาและสามารถยืนอยู่เหนือเส้น EMA ได้ (ผมใช้ EMA10 เป็นพวกขาซิ่งนะครับ หึหึ)
      แล้วมาดู indicator ตัวแรกที่น่าสนใจคือ STO จะเห็นว่าอยู่ในบริเวณ oversold แล้ว หรือแปลว่า มีการขายมากเกินไป บวกกับเส้น signal line ตัดกันขึ้นไปด้วย น่าจะเป็นการยืนยันแนวโน้มได้ว่ากำลังจะกลับตัวเป็นขาขึ้นในไม่ช้า (ในกรณีนี้ ถ้าดูที่ MACD ด้านล่างสุด ก็จะเห็นว่าทำรูปแบบเดียวกันนั่นเอง) ส่วน RSI ทำท่ายกตัวสูงขึ้น จากที่ตกลงมาได้สักพักแล้ว เป็นสัญญาณบอกว่าแนวโน้มน่าจะจบขาลงแล้วเช่นกัน
      
      ช่วงที่ 2. อันนี้มาดูในเรื่องของทฤษฎี สามเหลี่ยมทองคำ จากรูปจะเห็นว่าราคาทำรูปทรงเป็นสามเหลี่ยมที่ผมลากเส้นกรอบเอาไว้ สุดท้ายราคาก็ทะลุกรอบสามเหลี่ยมนี้ลงด้านล่างลงมา ผมเรียกว่าจุดหนีตาย เพราะเมื่อไหร่ที่ราคาหลุดกรอบไปทางไหนได้นั้นมันมักจะไปแบบรุนแรงซาดิตส์ อย่างที่เห็นเป็นประจำ (ในทางตรงข้าม ถ้าราคาหลุดกรอบขึ้นไปด้านบน ก็แปลว่าราคามีโอกาสขึ้นต่อได้แรงเช่นกัน)

      ช่วงที่ 3. จะพูดถึงเรื่องของการเกิด DIVERGENCE ระหว่างราคากับ indicator (จริงๆในที่นี้ผมตีเส้นสีแดงให้ดูที่ราคากับ RSI เท่านั้น หากมองดีๆ STO ก็ทำ DIVERGENCE เช่นเดียวกัน แต่ผมลืมตีเส้นให้ครับ ขออภัย) เอาหล่ะ การเกิดสัญญาณ DIVERGENCE ในลักษณะของ ราคาทำ new low (lower low) แต่ indicator ไม่ทำ new low (higher low) ตามไปด้วย นั่นแปลว่ากำลังจะเกิดการกลับตัวของแนวโน้มในไม่ช้า และจากรูป ราคาที่ลงมาเรื่อยๆเมื่อเกิดสัญญาณ DIVERGENCE ดังกล่าวก็กลับตัวเป็นขาขึ้นทันที (บวกกับราคาตัดเส้น EMA10 ขึ้นไปได้ด้วย ยิ่งสามารถยืนยันแนวโน้มว่าเป็นขาขึ้นได้เช่นกัน)

     ช่วงที่4. เนื่องจากในช่วงที่3 ผมลืมตีเส้นสีแดงบ่งบอกสัญญาณ DIVERGENCE ของ STO ให้ดู ช่วงนี้ผมเลยเอามาให้ดูแทน เป็นรูปแบบเดียวกันนะครับ คือ ราคาทำ new low (lower low) แต่ indicator (STO) ไม่ทำ new low (higher low) ตามไปด้วย นั่นแปลว่ากำลังจะเกิดการกลับตัวของแนวโน้มในไม่ช้า เช่นเดียวกัน
    
     ** หมายเหตุ**: เรื่องของ DIVERGENCE ผมขออธิบายเพิ่มเติมหน่อยละกัน เพราะหลายคนยังคงสับสนอยู่ จริงๆแล้ว DIVERGENCE มี 2 แบบที่ใช้กันคือ Bullish divergence และ Bearish divergence ซึ่งแต่ละแบบจะใช้วิธีดูต่างกันนะครับ
     แบบแรก Bullish Divergence (ก็คือแบบที่ผมยกตัวอย่างมาให้ดูนี่แหล่ะ) เกิดเมื่อ ราคาทำ new low (lower low) แต่ indicator ไม่ทำ new low (higher low) ตามไปด้วย มักเกิดขึ้นหลังจากที่ราคาลงมาได้สักพักแล้วกำลังจะเกิดการกลับตัวเป็นขาขึ้นนั่นเอง ***เน้น*** รูปแบบนี้ดูที่ low นะครับ
    แบบที่สอง Bearish Divergence จะแตกต่างตรงที่ ราคาทำ new high แต่ indicator ไม่ทำ new high ตามไปด้วย มักจะเกิดช่วงที่ราคาขึ้นมาได้สักพักแล้วกำลังจะเกิดการกลับตัวเป็นขาลงนั่นเอง ***เน้น***รูปแบบนี้ดูที่ high นะครับ

     ช่วงที่ 5. อันนี้ผมจะแสดงให้ดูถึงความยากลำบากในการเทรดช่วงที่หุ้นทำ side way จากรูป หากใครใช้ EMA เป็นหลักในการเทรด จะเห็นว่ามันเล่นยากพอสมควร(ในวงกลม) เพราะจุดแรกที่ราคามันตัดขึ้นแต่แท่งเทียนเป็นสีแดง2แท่งติด(แอบอันตราย) แถมแท่งต่อมาก็ตัดลงซะงั้น ไม่จบแค่นี้ แท่งต่อไปตัดขึ้นไปได้อีก ถ้าเล่นแบบนี้(ดูแต่ EMA) เป็นผมย้ายไปเล่นตัวอื่นแทนฮะ ปวดกบาล
     แต่........ถ้าเราใช้ indicator ตัวอื่นๆมาช่วยหล่ะ มาดูกัน จากรูป STO เจ้าพ่อเครื่องมือแห่งช่วง side way หากใครใช้เครื่องมือนี้มาช่วยด้วย การเทรดก็น่าจะง่ายขึ้น เพราะซื้อที่จุด oversold และเส้น signal line ตัดขึ้น สุดท้ายเราก็ไปขายที่เขต overbought และเส้น signal line ตัดลง แค่นี้ก็เล่นรอบได้กำไรมากินขนมแล้วครับ
     ยัง.........ยังไม่จบเท่านี้ มาดูกันต่อ ถ้าผมใช้ RSI มาช่วยประกอบการตัดสินใจหล่ะ ลองดูนะ RSI ทำตัวยกสูงขึ้น ผมเลยลอง adapt การใช้ trend line มาใส่ใน RSI ซะเลย 555 ตีเลยครับที่จุดต่ำสุดลากไปเลยเป็นแนวรับ เมื่อหลุดแนวรับก็ขาย หนีตายทัน อิอิ
     ส่วน MACD จริงๆก็ทำรุปแบบเดียวกันนะ ตัดขึ้นซื้อ ตัดลงขาย เท่านั้นแหล่ะ มีตังกินขนมแล้ว

     ทั้งหมดก็เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องมือในการเทรดยางส่วนนะครับ หวังว่าจะเอาไปประยุกธ์ใช้และฝึกฝนให้เข้ากับวิธีของแต่ละคนตามแนวทางที่ถนัดได้ หมั่นฝึกฝนอยู่บ่อยๆนะครับ เดี๋ยวก็เก่งเอง

     -บ้าหุ้น-

Sunday, September 29, 2013

เล่นหุ้น คือ การพนัน

ประโยค นี้เป็นที่ถกเถียงกันมานาน บางคนก็บอกว่าใช่ เป็นการพนันแน่นอน แต่บางคนก็ว่าเป็นการลงทุน ไม่ใช่การพนัน ผมได้ยินบ่อย จึงอยากจะเขียนอธิบายในมุมมอง(ส่วนตัว)ของผมดูบ้าง ลองดูละกันครับ

อันดับแรกเลย ถ้าพูดถึงการพนัน ผมจะนึกถึงอะไรบ้าง ง่ายๆ ก็จะมีพนันบอล ไฮโล โป๊กเกอร์ ไพ่ป๊อกเด้ง อะไรประมาณนี้คร่าวๆ
ต่อไป ผมมองว่าสิ่งที่จะแยกแยะว่าเป็นการพนันหรือไม่ ก็น่าจะเป็น “โอกาส หรือ ความน่าจะเป็น” หรือความเสี่ยงที่จะสียเงิน เช่นโอกาสเป็น 50/50 หรือ เรียกว่าเป็นการใช้ “ดวง” เล่น หรือความเสี่ยงในรอบนั้นๆ ถ้าเสียแล้วคือเสียเลย เอากลับมาไม่ได้ นอกจากจะไปหาเงินมาเล่นใหม่ ในครั้งต่อไป

ต่อไปขอเข้าสู่กระบวนการเปรียบเทียบ จะได้เห็นภาพชัดขึ้น

ถ้าผมมีเงินอยู่ก้อนนึงที่พร้อมจะทำอะไรต่อไปนี้ได้

ข้อแรก หากผมนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนทำธุรกิจร้านอาหาร หรือร้านเสื้อผ้า หรือร้านขายเครื่องสำอาง หรือธุรกิจอะไรก็ตาม ความเสี่ยงของผม น่าจะเป็น ความรู้และความเข้่าใจในธุรกิจนั้นๆ การบริหารงบการเงินและต้นทุนต่างๆ การตั้งราคาขาย การออกแบบสินค้า การวางแผนตลาด connectionsต่างๆ หากทั้งหมดนี้ผมไม่ได้มีความรู้หรือศึกษามาแล้วอย่างดีจริง ผมว่าสิ่งนี้ก็เรียกว่า ความเสี่ยง ไม่ต่างจากการพนัน เพราะอย่าลืมว่าคนทำธุรกิจเดียวกัน ที่เค้าเตรียมพร้อมมาอย่างดีในทุกๆด้านนั้น มีไม่น้อยนะครับ

ข้อสอง หากผมนำเงินก้อนนี้ไปฝากประจำกับธนาคารไว้เฉยๆ หากดอกเบี้ยผมได้ปีละ 4% ความเสี่ยงของผมก็คือ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทุกๆปี นั่นจะทำให้เงินของผมที่ฝากไว้มีค่าน้อยลงไปเรื่อยๆทุกปี ลองคิดดูดีๆนะครับ
ผมยกตัวอย่างเช่น หากเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมฝากธนาคารไว้ 20 บาท ได้ดอกเบี้ย 4% ทบต้น ในปีที่5 ผมจะมีเงินเป็น 24.33 บาทโดยประมาณ ในขณะเดียวกัน เมื่อ 5 ปีที่แล้วผมซื้อข้าวได้ 1 จาน ในราคา 20 บาท พอ 5 ปีต่อมา ราคาข้าว 1 จาน เท่ากับ 30 บาท (นี่คือเรื่องจริงนะครับ อัตราเงินเฟ้อของจริงบางทีมันรุนแรงกว่านี้ด้วยครับ) นั่นหมายถึง ในจำนวนเงินที่ผมเคยซื้อข้าวได้ 1 จาน หากผมเอาไปฝากธนาคาร อีก 5 ปี เงินผมก้อนเดิมนี้ต่อให้เพิ่มเป็น 24.33 บาท(ตามrateดอกเบี้ยธนาคารที่ผมได้จริง) ผมก็ซื้อข้าวกินไม่ได้แล้วนะครับ กรณีนี้ ผมถือว่าผมเสี่ยงแน่นอน
(คงไม่ต้องพูดถึงคนที่เก็บเงินไว้เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยนำครับ อัตราเงินเฟ้อมันก็จะค่อยๆกินมูลค่าเงินก้อนนั้นไปเรื่อยๆเองโดยอัตโนมัติ)

ข้อสาม หากผมนำเงินก้อนนี้มาลงทุนในตลาดหุ้น โดยที่ผมไม่มีความรู้อะไรเลย อ่านงบการเงินก็ไม่เป็น กำไรขาดทุนบริษัทดูที่ไหนก็ไม่รู้ หุ้นของบริษัทที่ลงทุนไป เค้าทำธุรกิจอะไร ขายอะไร ใครเป็นเจ้าของก็ไม่รู้ หรือบอกว่าตัวเองเล่นเทคนิคแต่ดูกราฟไม่เป็น เข้ามาเล่นตามคนอื่น ตามเพื่อน ตามข่าว โบรกให้ซื้อก็ซื้อ โบรกให้ขายก็ขาย แน่นอนครับในกรณีนี้ ผมถือว่า เสี่ยงไม่แพ้การพนันแน่นอน

และทั้งหมดที่ผมพูดมาในทุกๆตัวอย่าง น่าจะพอเห็นแล้วว่า ความเสี่ยงนั้นมีอยู่ในทุกๆข้อ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ซึ่งความเสี่ยงนั้นจะมากน้อยแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถ ความพร้อม ความถนัด และวิธีการต่างๆของ"ตัวบุคคล"นั้นๆเอง

สำหรับคำพูดที่ว่า “เล่นหุ้นคือการพนัน” มันจะเป็นจริง"เสมอ" สำหรับคนที่นำเงินมาเข้าตลาดหุ้นโดยไม่ศึกษามาให้พร้อม

ผมขอยืนยันเลยว่า ใครก็ตามที่ทำการอะไรก็แล้วแต่ โดยไม่พยายามศึกษาให้เข้าใจและไม่มีแบบแผนให้พร้อมเสียก่อน "ความเสี่ยง"ของคุณก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่เล่นพนันแน่นอน (เอะอะก็จะวัดดวงอย่างเดียว)

ผมหวังว่าทั้งหมดนี้จะเป็นไอเดียช่วยให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้นบ้างว่า....การที่จะเรียกสิ่งไหนว่า "การพนัน" มันขึ้นอยู่กับ..."อะไร" จริงๆกันแน่? (หวังว่าจะช่วยให้เข้าใจได้บ้างนะ 555)
- บ้าหุ้น -

คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น

ประโยคนี้ ในมุมมองของผม ผมมองว่ามันไม่ใช่ประโยคที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่ผมเริ่มเข้ามาเล่นหุ้นแล้วครับ

ข้อแรก ผมเริ่มเล่นหุ้นด้วยเงินหลักหมื่นต้นๆ และกว่าจะได้เงินก้อนนี้มา ผมก็เริ่มต้นจากศูนย์ ต้องทำงานเก็บเงินเลือดตาแทบกระเด็น เป็นการบ่งบอกว่าผมนี่แหล่ะครับ “คนจนเล่นหุ้น”

ข้องสอง เท่าที่ผมเจอมา คนที่รวยกว่าผม ไม่ว่าจะมีเงินแสน เงินล้าน สิบล้าน .........หลายๆคนก็เล่นหวย เล่นพนันบอลกันเยอะแยะ ข้อนี้ก็ยืนยันว่า “คนรวยก็เล่นหวย” ครับ

แต่ประเด็นที่ผมอยากจะบอกจริงๆก็คือ อย่ายึดติดกับคำพูดหรือประโยคอะไรแบบนี้ แล้วนำเอาไปคิด เอาไปตีกรอบตัวเองว่า “เอ้ย!!เรามันจนนี่หว่า งั้นก็ต้องเล่นหวยสิ เราจะไปเล่นหุ้นได้ยังไงกัน อันนั้นมันสำหรับคนมีการศึกษาสูงๆ คนรวยๆมีเงินเยอะๆเค้าเล่นกัน” แบบนี้เป็นวิธีคิดที่ไม่ดีเลยนะครับ

ลองดูหลายๆคนเป็นตัวอย่าง จะเห็นว่ามีมากมายที่เริ่มต้นเข้าสู่วงการลงทุน ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เริ่มต้นจากศูนย์หรือบางคนก็เริ่มจากติดลบด้วยซ้ำ คนเหล่านี้ก็ค่อยๆสร้างตัวขึ้นมา และก็มีคนก็ประสบความสำเร็จไปมากมายแล้ว

การที่คุณจะทำอะไร "ได้" หรือ "ไม่ได้" นั้น อย่าดึง “เงิน” เข้ามาเป็นปัจจัยแรก

เพราะนั่นจะเป็นตัวตีกรอบความคิดที่อันตรายมากที่สุด ให้คุณดึงความมุ่งมั่น ความตั้งใจที่จะเรียนรู้และศึกษา ความพยายาม ขยันและอดทน ออกมาเป็นตัวตั้ง ออกมาเป็นพลัง ว่าคุณเองก็สามารถทำได้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่กับการลงทุนอย่างเดียวนะ มันใช้ได้กับทุกอย่าง

อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆ อย่าคิดอะไรตื้นๆกับแค่เรื่องของ “เงิน” นะครับ
หนทางสู่ความสำเร็จ มีมากว่าแค่ "จำนวนเงิน" ลองคิดดูดีๆ
....ขอให้สู้กันต่อไป
- บ้าหุ้น -

มุมมองธรรมะ VS ประสบการณ์จริง

จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม(ของผม) ที่เข้ามาสู่วงการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น ผมสามารถหาคำตอบได้สิ่งหนึ่งก็คือ

"ธรรมะ" ทำให้ผมอยู่รอดในตลาดหุ้นมาจนถึงทุกวันนี้

มีคนเคยตลกกับคำพูดของผม ว่า ธรรมะกับการลงทุนมันขัดกัน เอามาใช้ด้วยกันจะไปรวยได้ยังไง ไม่เข้าใจ

สิ่งที่ผมสังเกตได้จากคำพูดนี้ ก็คือ ก็เพราะคุณยังไม่เข้าใจไงหล่ะ (ผมก็เคยไม่เข้าใจมาก่อนเหมือนกันเนี่ยแหล่ะ)

จริงๆแล้ว ถ้าใครที่ชอบหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาอ่าน น่าจะเคยเห็นกูรูหรือนักลงทุนชื่อดัง พูดถึงเรื่องของการลงทุนกับธรรมะมาบ้างแล้ว และก็น่าจะพอเข้าใจความหมายของมันไม่มากก็น้อย แต่วันนี้ ผมจะเอาประสบการณ์ของจริงที่เกิดขึ้นกับผมมาแชร์ให้เห็นภาพอีกมุมหนึ่ง

เราลองมาดูกัน!!!

1. การขาดทุนครั้งที่เลวร้ายที่สุดของผม เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวตั้งแต่เล่นหุ้นมา สาเหตุมาจาก "ความโลภ" ทั้งหมด ด้วยความคิดที่ว่า "ได้ทีรวยเละเลย" แต่ไม่ได้คิดสวนทางกันว่า แล้วถ้าเสียหล่ะ? เพราะตอนนั้นผมโดนกิเลสครอบงำแบบจริงจังมาก ผมทุ่มเงินหมดหน้าตักเข้าซื้อหุ้นที่มีข่าววงในออกมาถึงหูผม คาดว่าจะปั่นไปเท่านั้นเท่านี้
ผลลัพธ์ที่ได้คือ โดนจ้าวทุบเละครับ สติแตก ทำอะไรไม่ถูกครับ ไปไม่เป็นเลยครับงานนี้ ช๊อค กว่าจะตั้งสติได้อีกที เงินที่ผมพยายามต่อยอดจากการลงทุนมา 3-4 ปี ก็หายไปกว่าครึ่งหนึ่งของมันเป็นที่เรียบร้อย

เป็นประสบการณ์ที่ราคาแพงมากสำหรับผม แต่มันก็ทำให้ผมเข้าใจว่า การอยากรวยเร็วๆ ความโลภที่มี มันอันตรายจริงๆ และหากผมมีสติมากกว่านี้ มันคงจะช่วยให้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

2. ช่วงที่ผมฝึกเทรดหุ้นด้วยวิธีแบบ technical มันทำให้ผมเห็นความจริงอย่างนึงคือ ทุกครั้งที่เกิดความผิดพลาด ไม่เป็นไปตามทฤษฎี ผมจำเป็นต้อง cut loss .....แต่ผมไม่ทำ!!! เพราะ เข้าข้างตัวเอง ไม่ยอมรับความจริง คิดว่ามันน่าจะเด้งได้ สุดท้ายลงลึก เลยต้องขายขาดทุนกว่าเดิม เหตุการณ์ครั้งนี้มันทำให้ผมเข้าใจว่า ธรรมชาติของหุ้นมันเป็นแบบนี้ ไม่มีอะไรถูกต้องตามทฤษฎี100% และเมื่อผิดทางแล้วก็ต้องรู้ว่าผิด ให้รีบแก้ไข และการใช้อารมณ์เข้ามารบกวนระบบการเทรดที่มีวินัย มันก็เลยบรรลัยแบบนี้เอง


จริงๆหากเข้าใจธรรมะ ก็จะรู้ว่า ธรรมชาติของมนุษย์มีความกลัว ความโลภ มีกิเลสเป็นเรื่องปกติ เป็นธรรมดา  และเป็นธรรมชาติ
 
ตลาดหุ้น รวมถึงการเล่นหุ้น มันก็เป็นผลจากการกระทำที่ส่งต่อมาจากมนุษย์เรานี่เอง ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีคนฉลาด ก็ย่อมมีคนโง่ เมื่อมีคนกลัว ก็ต้องมีคนกล้า เมื่อมีคนอยากซื้อ มันก็ย่อมมีคนอยากจะขาย

สุดท้ายมันก็ส่งผลให้ราคาขึ้นและลง ตาม demand and supply หรือปัจจัยเหล่านี้เป็นปกติธรรมดา

หากเข้าใจหลักธรรมชาติเบื้องต้นแบบนี้แล้ว ผมว่า คุณมีแววจะอยู่ในตลาดหุ้นได้ยาวนานและมั่นคงได้ไม่ยาก
- บ้าหุ้น -

การ STOP LOSS สำคัญมั๊ย?

หากเป้าหมายการมาเล่นหุ้นของทุกคนเหมือนๆกันคือ "ได้กำไร"

ดังนั้น ไม่ว่าจะเล่นสั่น เล่นยาว เทคนิค VI หุ้นปั่น วงใน ตามโบรค หรือเล่นมั่ว....

ก็ทำไปเถอะครับ มีเป็นร้อยล้านวิธี ตามสไตล์ที่ตัวเองชอบหรือถนัด

แต่........

อย่าได้ลืมเหตุผลสำคัญอีกข้อนึงด้วยนะ คือ ระวัง "การขาดทุน"

ก็พูดกันไป พูดง่ายนะ ว่าต้องไม่ขาดทุน แต่ทำจริงมันยากมากกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!

เพราะความยากนี่แหล่ะ ถึงต้องมีเครื่องมือที่ใช้ "จำกัด"การขาดทุน 

แม้จะไม่ได้ป้องกันขาดทุนได้100% แต่อย่างน้อย ทุนก็ไม่หายหมดหรือไม่เจ๊ง
เมื่อมีจุด STOP LOSS เราก็ยังสามารถเอาตัวรอดออกมาได้ เราจะยังคงมีทุนเหลือไว้แก้ตัวได้

ในครั้งต่อๆไปอีกด้วย

และนี่คือเหตุผลของการต้องเรียนรู้วิธี "STOP LOSS" ไว้เป็นวิชาป้องกันตัว (สำคัญมากนะ จะบอกให้)

-บ้าหุ้น-

แนวคิดเบื้องต้นก่อนเริ่มลงทุน

หากถามถึง”วิธีคิด” ในการเลือกลงทุนหุ้น ว่าเริ่มต้นคิดอย่างไร
“สำหรับผม” ผมจะคิดถึงหลักปัจจัยที่มีเหตุและผลเป็นลำดับขั้นตอน ดังนี้

1.เลือกปัจจัยหลักใหญ่ๆ หรือ MEGA TREND มาเป็นเหตุผลหลักในลำดับแรก

2.คำนึงหรือคาดการณ์ ถึงผลที่น่าจะเกิดขึ้นจากปัจจัยข้อแรก เพื่อจะได้มองเห็นภาพได้ลึกขึ้นว่า

บริษัทไหนได้หรือเสียจากเหตุปัจจัยนั้นๆ

3.เมื่อเห็นภาพว่ามีบริษัทไหนที่เข้าเกณฑ์บ้างแล้วก็ค่อยเจาะลึกดูพื้นฐานบริษัท

4เริ่มแผนลงทุนด้วย”วิธีของตัวเอง”

ผมขอยกตัวอย่างสักอันให้เห็นภาพชัดขึ้น

ขอยกตัวอย่างจากปัจจัยที่เพิ่งจะผ่านมาไม่นานมากนักละกัน เช่น
ปัจจัยหรือเหตุ คือ "โครงการรถคันแรก" ส่วนผลที่น่าจะตามมาคือ คนซื้อรถง่ายและเยอะขึ้น รถติด คนใช้รถบนถนนมากขึ้น คนใช้เวลาอยู่บนถนนนานขึ้น หลังจากนั้นก็มาคิดว่าบริษัทอะไรน่าจะเกี่ยวข้องบ้าง

ผมยกตัวอย่างว่า บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่รถน่าจะได้ผลดี รถติดคนก็น่าจะใช้ทางด่วนมากขึ้นหรือใช้ช่องทางอื่นเช่นรถไฟฟ้ามากขึ้นตามไปด้วย หรือเนื่องจากรถติดมากขึ้น คนก็จะใช้ชีวิตบนท้องถนนนานขึ้น พวกบริษัทป้ายโฆษณาตามท้องถนนก็น่าจะได้ผลดีตามไปด้วย สุดท้ายพอคัดเลือกบริษัทจากความน่าจะเป็นเหล่านี้มาได้ ก็นำมาดูความแข็งแกร่งของแต่ละบริษัท วิเคราะห์งบการเงิน การจ่ายปันผล ประวัติการเติบโตต่างๆอย่างละเอียด ถึงขั้นตอนสุดท้ายผมก็ค่อยมาดูกันที่ราคาที่เหมาะสมและวางแผนลงทุนด้วยวิธีการลงทุนที่ตัวเองถนัด

และนี่ก็คือวิธีคร่าวๆที่น่าจะนำไปต่อยอดได้อีก แล้วพวกคุณหล่ะครับ วางแผนการลงทุนกันไว้แบบไหน?

-บ้าหุ้น-

ทำความรู้จักกับงบการเงินเบื้องต้น



(งบดุล)

งบดุล หรืองบแสดงฐานะทางการเงิน บ่งบอกถึงฐานะและความมั่นคงของกิจการบริษัทนั้นๆ บ่งบอกถึงสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้น

1. สินทรัพย์ คือ สิทธิและทรัพยากรที่กิจการมีอยู่ ซึ่งเกิดจากการประกอบการ และสามารถแสดงเป็นตัวเงิน สามารถที่จะให้ประโยชน์ในอนาคต ซึ่งแบ่งออกเป็น

- สินทรัพย์หมุนเวียน หมายถึง เงินสดหรือสินทรัพย์อื่นๆที่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเงินสดได้ภายในระยะเวลา 1 ปี หรือ1 รอบระยะเวลาการดำเนินงานตามปกติของกิจการ เช่น เงินสด เงินฝากธนาคาร ลูกหนี้ที่สามรารถชำระภายในรอบระยะเวลาบัญชี สินค้าคงเหลือ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายล่วงหน้าอื่นๆ เช่นค่าเช่าจ่ายล่วงหน้า

- สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน หมายถึง สินทรัพย์ ที่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายใน 1 ปีหรือ 1รอบระยะบัญชีของกิจการ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามาก และมีความถาวร เช่น อาคาร ที่ดิน รวมไปถึงเงินลงทุนในบริษัทอื่นๆ ที่ลงทุนในระยะยาว

2. หนี้สิน คือ พันธะผูกพันที่บุคคลภายนอกได้แก่เจ้าหนี้มีต่อกิจการอันเกิดจากรายการทาง ธุรกิจ การกู้ยืมหรือจากเหตุการณ์อื่นๆ ที่จะต้องชำระคืนในภายหน้าด้วยสินทรัพย์หรือบริการ ตัวอย่างของหนี้สินของหนี้สิน เช่น เจ้าหนี้การค้า เจ้าหนี้เงินกู้ ตั๋วเงินจ่าย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

- หนี้สินหมุนเวียน คือ พันธะผูกพันที่ต้องมีการจ่ายชำระคืนแก่เจ้าหนี้ไม่เกิน 1 ปี หรือในรอบระยะเวลาการปฏิบัติงานตามปกติของกิจการ เช่นเจ้าหนี้ทางการค้า ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย

- หนี้สินระยะยาว คือ หนี้สินที่มีกำหนดชำระมากกว่า 1 ปี หรือเกินกว่าระยะเวลาการปฏิบัติงานตามปกติของกิจการ เช่น หุ้นกู้ เงินกู้ระยะยาว

3. ส่วนของผู้ถือหุ้น คือ สิทธิเรียกร้องหรือส่วนได้เสียที่เจ้าของมีอยู่เหนือสินทรัพย์ หลังจากได้หักสิทธิเรียกร้องที่เป็นของเจ้าหนี้ออกไปแล้ว หรือกล่าวได้ว่าคือสินทรัพย์สุทธิ หรือส่วนที่สินทรัพย์มากกว่าหนี้สิน (สินทรัพย์ – หนี้สิน = ส่วนของผู้ถือหุ้น)




(งบกำไรขาดทุน)

งบ กำไรขาดทุน แสดงถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในงวดระยะเวลาบัญชีหนึ่ง ๆ ซึ่งโดยทั่วไปจะกำหนดให้เป็นรอบ 1 ปี หรือไตรมาส งบกำไรขาดทุน ประกอบด้วย รายการหลัก 3 รายการ คือ 

1) ยอดขายหรือรายได้ หมายถึง ผลตอบแทนที่ธุรกิจได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้านั้นๆ ซึ่งเกิดจากการคำนวณที่แน่นอนของจำนวนเงิน และยังรวมไปถึงรายได้จากการลงทุนการแลกเปลี่ยนสินค้า ดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืมเช่นกัน โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่

1.1) รายได้โดยตรง เป็นรายได้ที่สัมพันธ์โดยตรงหรือเกิดจากการดำเนินงานโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าหรือบริการต่างๆ ของกิจการ

1.2) รายได้อื่นๆ เป็นรายได้ที่นอกเหนือจากรายได้โดยตรง เช่น เกิดจากการขายสินทรัพย์ออกไป หรือรายได้จากเงินปันผลของบริษัทที่ไปร่วมลงทุนด้วย

2) ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หรือต้นทุน คือ ต้นทุนสินค้าหรือบริการที่กิจการได้จ่ายไปเพื่อก่อให้เกิดรายได้ และจะรวมไปถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดจากการดำเนินการเพื่อนำสินค้ามาขาย หรือ ค่าใช้จ่ายต่างๆที่ใช้ในการดำเนินกาของธุรกิจด้วย

3) กำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ หมายถึง ส่วนที่เกิดจากรายได้ หัก ค่าใช้จ่าย ในระยะรอบบัญชีนั้นๆ
(รายได้ – รายจ่าย = กำไร หรือ ขาดทุน)




(งบกระแสเงินสด)

งบ กระแสเงินสด หมายถึงงบการเงินที่แสดงการเคลื่อนไหวของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดของ กิจการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง งบกระแสเงินสดจะแสดงเงินสดที่ได้รับและจ่ายออกไปที่เกิดขึ้นตาม 3 กิจกรรม คือ 

1. กิจกรรมการดำเนินงาน หมายถึง กระแสเงินสดรับและกระแสเงินสดจ่ายจากการดำเนินงานหลักที่ก่อให้เกิดรายได้ ของกิจการและกิจกรรมอื่น ที่ไม่ใช่กิจกรรมการลงทุนหรือกิจกรรมการจัดหาเงิน

2. กิจกรรมการลงทุน หมายถึง กระแสเงินสดที่เกิดจากการซื้อและขายสินทรัพย์ระยะยาวและเงินลงทุนอื่นๆของ กิจการที่จะก่อให้เกิดรายได้และกระแสเงินสดรับในอนาคต เช่น เงินสดรับจากการขายเงินลงทุนระยะยาว ที่ดิน อาคาร หรือ อุปกรณ์ เงินสดจ่ายเพื่อซื้อเงินลงทุนระยะยาว ที่ดิน อาคาร หรืออุปกรณ์

3. กิจกรรมการจัดหาเงิน หมายถึง กระแสเงินสดที่ได้รับจากการลงทุนของเจ้าของ หรือการกู้ยืมเงิน และกระแสเงินสดที่จ่ายชำระหนี้สินจากการกู้ยืมเงิน หรือเงินปันผล

Positioning




หลายคนยังไม่รู้ว่าตัวเองมีศักยภาพอยู่ที่จุดไหน และยังสามารถพัฒนาได้อีกมากน้อยเท่าไหร่ หรือพูดง่ายๆว่ายังรู้จักตัวเองไม่ดีพอ


แล้วจะทำยังไงหล่ะ ถึงจะรู้จักตัวเองดีพอ?


ในมุมมองของผมเอง การที่คุณจะรู้จักตัวเองได้ คุณต้องตั้งคำถามกับตัวเองก่อน

1. คุณมีความสามารถทำอะไรได้บ้าง (ถนัดด้านไหน ไม่ถนัดอะไร)

2. คุณอยากจะทำอะไร (อะไรที่ทำแล้วจะมีความสุข อะไรที่คุณยินดีที่จะพัฒนาหรือเรียนรู้เพิ่มเติม อะไรที่คุณจะเสียดายหรือเสียใจมากถ้าชีวิตนี้คุณไม่ได้ทำ)

3. ตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่ (สิ่งที่ทำอยู่นี้ถูกต้องหรือยัง ดีที่สุดหรือยัง ใช่สิ่งที่เหมาะสมมั้ย ใช่สิ่งที่คุณต้องการมั้ย)

สุดท้ายเมื่อคุณลอง list คำตอบออกมา ผมว่าน่าจะช่วยทำให้คุณมองเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น ว่าจริงๆแล้ว ชีวิตของคุณอยู่ตรงจุดไหน และสิ่งที่คุณอยากจะทำ มันมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน หรือต้องใช้อะไรช่วยบ้างถึงจะทำให้ได้ตามเป้าหมายนั้นๆ


ถืิเป็นการวางแผนหรือ set up แผนที่การเดินทางสู่เป้าหมายได้ดี เพราะคุณจะมองเห็นภาพที่ใหญ่ขึ้น ว่าหากคุณอยากจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ตอนนี้คุณพร้อมหรือยัง มีกี่วิธี มีกี่ตัวช่วย


สุดท้ายเมื่อวางแผนทุกอย่างได้ชัดเจนแล้ว คุณจะทำหรือไม่ทำตามฝัน มันก็ขึ้นอยู่ที่ใจคุณเอง ว่าจะกล้าออกstartหรือยัง?


เอ้า!!! ลองดู ลุยเลย


- บ้าหุ้น -