Monday, February 10, 2014

"คิดสวนทาง" นี่อาจจะเป็นหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตคุณได้ แนะนำให้อ่านครับ



เนื้อหาเกี่ยวกับวิธีคิดสวนทาง ไม่ใช่ทฤษฏี แต่เกิดจากประสบการณ์จริงบนเส้นทางสิบเจ็ดปีของผู้เขียนที่ได้ก่อตั้งบริษัทสองบริษัทโดยใช้หลักการนี้เป็นเครื่องมือสร้างบริษัททั้งสองจากความไม่มีอะไร

เป็นหนังสือที่ผมคิดว่า ถ้าหลายคนได้อ่านแล้วจะมีพลัง มีไอเดีย ที่นำไปต่อยอดได้ในชีวิตและธุรกิจรวมไปถึงการลงทุนได้ไม่น้อยอย่างแน่นอน

แล้วที่ว่าเป็นหนังสือช่วยชาติ คืออะไร? คำตอบคือ รายได้ทั้งหมดจากการจำหน่ายหนังสือเล่มนี้หลังจากหักค่าจัดจำหน่ายแล้ว จะนำไปบริจาคให้กับกองทุนสามกอง
1. บริจาคให้กับมูลนิธิยุวพัฒน์เพื่อเป็นทุนการศึกษากับเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์
2. ใช้เป็นทุนทรัพย์ในการต่อต้านคอรัปชั่น
3. บริจาคให้กับพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธีหรือท่าน ว. เพื่อให้ท่านนำไปใช้ในกิจที่ท่านเห็นเหมาะสม

หนังสือ “คิดสวนทาง” ราคาเล่มละ 195 บาท มีจำหน่ายที่ร้านขายหนังสือทั่วไป อย่างเช่น Se-ed, B2S, ร้านนายอินทร์

และนี่คือบทความบางตอนจากในหนังสือที่ผมชอบมาก

“มีลูกมีหลานให้พวกเขาเลือกทำงานลำบาก งานท้าทายที่คนไม่ชอบทำ นั่นคือมหาวิทยาลัยของชีวิตจริง อย่าเลือกงานเพียงเพราะต้องการได้เงินเดือนสูงๆ อย่าเลือกที่ทำงานเพราะบริษัทนั้นๆมีชื่อเสียง อย่าเลือกงานเพียงเพราะต้องการความมั่นคงในชีวิต เมื่อคุณปีนภูเขาข้ามสำเร็จ ค่าตัวคุณจะมีมูลค่ามหาศาล คราวนี้ spotlight ของวงการจะส่องมาที่คุณ แล้วเงินทองจะไหลมาเทมา แบบที่คุณเก็บไม่ทัน”

“ผมมีความเชื่อว่าโอกาสในชีวิตของคนเราไม่ได้ยืนรอเราเป็นเวลาหลายๆวันที่หน้าประตูบ้าน โอกาสมันเปรียบเสมือนลม พัดมาแล้วพัดไป คนส่วนมากจะต้องรอให้ข้อมูลครบถ้วนแล้วค่อยตัดสินใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องแสดงความเสียใจกับคุณ เพราะคุณจะตกขบวนรถไฟที่มีชื่อว่า โอกาสของชีวิต”

“เร่งความรวย”

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายคนมีความคิด “อยากรวยเร็ว” และนั่นถือเป็นเหตุผลสำคัญอีกอย่างที่ทำให้บางคนเลือกเดินทางที่ผิด เช่น เล่นการพนัน ขายยาบ้า ขายตัว ค้าอาวุธ ค้าของเถื่อน เป็นต้น

หากคุณอยากจะเป็นเศรษฐีทางลัดด้วยวิธีข้างต้นนี้ บอกเลยว่านั่นเป็นความคิดที่มักง่ายเกินไป เพราะคุณได้เอาทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไปเสี่ยงกับสิ่งที่คุณ “ไม่สามารถควบคุมได้” และนั่นจะทำให้ชีวิตของคุณต้องเจอกับเรื่องแย่ๆตามมาโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น สุขภาพแย่ลง มีแต่ความเครียด เจอแต่คนแย่ๆรอบตัว สังคมรังเกียจ เผลอๆถ้าพลาด อาจทำให้หมดตัวหรือถึงขั้นทำอะไรสิ้นคิดเลยก็ได้

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันยังมีหนทางที่ดีอีกมากมายที่จะทำให้ชีวิตคุณ”มั่งคั่ง”และ”มั่นคง”ได้  และผมเชื่อว่าปัจจัยที่ทุกคนต้องการในชีวิตหลักๆแล้วมีอยู่สามประการ นั่นคือ เงิน เวลา และ สุขภาพ และทั้งสามอย่างนี้รวมกันกลายเป็น “ความสุข” นั่นเอง

แล้วอะไรที่จะทำให้เราได้ทั้งสามอย่างนี้พร้อมกัน โดยที่ไม่ต้องเลือกเดินทางที่ผิด?

1. สิ่งแรกเลยคือ งานหรือธุรกิจที่ทำรายได้หลักให้กับคุณ คุณต้องสนุกและรักในสิ่งนั้นก่อน ถ้าไม่ใช่ คุณควรหาตัวเลือกอื่นอย่างด่วนที่สุดเลยครับ เพราะมันจะทำให้คุณเสียเวลาและสุขภาพโดยที่คุณไม่รู้ตัว

2. เมื่อคุณมีรายได้หลักจากงานที่รักอยู่แล้ว คุณก็เพิ่มช่องทางหารายได้เสริมกับงานหรือธุรกิจอะไรก็ได้ที่คุณรักอีกสิครับ ผมเชื่อว่าสิ่งที่คนเราอยากทำมีมากกว่า1อย่าง แต่นึกกันไม่ออกเองมากกว่า และการทำงานมากกว่าหนึ่งอย่าง จะทำให้ความเสี่ยงทางด้านการเงินของคุณลดลง และมีโอกาสเติบโตมั่นคงได้เร็วขึ้นด้วย ซึ่งจริงๆแล้วมันมีงานอีกมากมายที่คุณสามารถทำเพิ่มได้โดยไม่ต้องเสียเวลากับมันเยอะ ลองคิดดูดีๆครับ

3. ข้อนี้ถือว่าbasicมาก นั่นคือ การประหยัด ใช้เงินให้คุ้มค่า อย่าฟุ่มเฟือย ข้อนี้จริงๆไม่ต้องสอน ไม่ต้องแนะนำอะไรมาก เพราะพูดกันมากี่ปีกี่ชาติแล้ว และผมบอกเลยว่า นี่เป็นสิ่งที่จะทำให้คุณรวยได้จริงแต่หลายคนยังมองข้ามไป

4. ข้อนี้เป็นทีเด็ด ผมเรียกสิ่งนี้ว่า เครื่องมือเร่งความรวยอัจฉริยะ และสิ่งนั้นก็คือการลงทุนใน ASSET หรือ สินทรัพย์ ที่ผมมักจะพูดอยู่บ่อยๆนั่นเอง
การลงทุนใน สินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นลงทุนในหุ้นเพื่อรับปันผลทุกปีหรือได้ส่วนต่างราคาหุ้น พันธบัตรรัฐบาล ที่ดิน กองทุน และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสินทรัพย์ที่ดีนั้นจะมาในรูปแบบ PASSIVE INCOME หรือ เป็นเครื่องผลิตเงินให้คุณอัตโนมัติโดยที่คุณไม่ต้องทำงาน เพราะเวลายิ่งผ่านไปมันจะยิ่งคอยเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆเอง เพียงแค่คุณปล่อยมันไว้เฉยๆ และสิ่งนี้เองที่เป็นเครื่องมือเร่งความรวยที่ดีที่สุด เช่นซื้อหุ้นปันผลปล่อยทิ้งไว้เฉยๆคุณก็จะได้เงินปันผลทุกๆปีโดยไม่ต้องทำอะไรเลย แถมยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยหากหุ้นที่ลงทุนเป็นหุ้นของบริษัทที่มีการเติบโตดีทำให้ราคาหุ้นในตลาดเพิ่มขึ้นและสัดส่วนเงินปันผลก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เป็นต้น

ครับ ทั้งหมดมีแค่ 4 ข้อ ที่ผมแนะนำ คือ ทำงานที่เรารักและสนุกกับมัน, หารายได้ให้มากกว่าหนึ่งทาง, ประหยัด รู้คุณค่าของเงิน, ต่อยอดการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆที่จะเพิ่มมูลค่าตามกาลเวลา
และทั้ง 4 ข้อนี้ ผมไม่ได้ให้คุณเลือกข้อใดข้อหนึ่ง แต่ผมแนะนำให้ทำพร้อมกันทั้งหมด ทุกคนมีความสามารถพอที่จะทำได้เหมือนกัน ผมเชื่อว่าคนที่ทำได้4ข้อนี้ จะมีอิสรภาพทางการเงินได้อย่างรวดเร็วอย่างไม่คาดคิด และเมื่อถึงเวลานั้น คุณจะมีทั้งเงิน เวลา และสุขภาพที่ดี อย่ามัวรออะไรอยู่เลย เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ ทุกคนทำได้ครับ ขอให้โชคดี

ที่มา:
Column: investor talk @ 8gg magazine (FREE)
สามารถอ่าน 8gg Magazine ได้ที่
1. อ่านออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.8ggmagazine.com
2.ดาวน์โหลด http://bit.ly/1fXgUYr
3. ดาวน์โหลดผ่านสมาร์ทโฟนได้ผ่านแอพพลิเคชั่น Ookbee ( เฉพาะ iOS ), และ (Android) มีทั้ง AIS Book Store และ B2S BookStore

การให้

อย่าให้ปลาแก่เขา แต่จงสอนเขาตกปลา

จงสอนให้เขาปลูกข้าว แต่อย่าเอาข้าวไปให้เขากิน

คิดว่าหลายคนคงพอจะเคยเห็น 2 ประโยคข้างต้นมากันบ้างแล้ว ตัวผมเองมีความเชื่อในเรื่องนี้มานาน คนเราเกิดมาเป็นผู้รับก็ต้องรู้จักเป็นผู้ให้เช่นกัน

การให้สิ่งของหรือจะสู้การให้ปัญญา สิ่งของเมื่อให้ไปแล้วก็หมดได้ง่ายๆหากคนรับนำไปใช้อะไรผิดๆหรือไม่มีปัญญาที่จะทำให้เกิดประโยชน์ที่แท้จริง

นี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ผมหันมาสนใจงานเขียน จริงๆแล้วผมไม่ได้ชอบการเขียนมาตั้งแต่เด็ก และไม่ได้เขียนอะไรเก่งมากนัก ผมก็พยายามฝึกฝนมาเรื่อยๆ เพราะผมมองว่า การเขียนนี่แหล่ะ คือทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้ผมสื่อสาร ถ่ายทอด ความรู้และประสบการณ์ของผมที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆได้ดีที่สุด


ข้อดีของการเขียนก็คือ ผมได้ทบทวนความรู้และพัฒนาตัวเอง ทำให้ผมมีความจำที่ดีขึ้น ฉลาดขึ้น และผมสามารถแบ่งปันเรื่องราวต่างๆถึงคนหมู่มากได้ในคราวเดียวจากการเขียนหนึ่งครั้ง (ผมไม่ต้องมาเล่าเรื่องราวเดิมๆซ้ำๆให้ทีละคน และพวกคุณสามารถเลือกเวลาจะอ่านงานเขียนของผมเมื่อไหร่ก็ได้ และกี่รอบก็ได้) เป็นการบริหารเวลาอันสำคัญของทั้งคุณและผมได้ใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นในชีวิตต่อไป

“สินทรัพย์” เครื่องมือผลิตเงินที่ควรรู้จัก ถ้าอยาก “รวยและมั่นคง”

หากจะพูดถึงแหล่งที่มาของรายได้จากการทำงาน คงจะแบ่งได้ 4 แบบดังนี้ คือ 
1. “พนักงานเงินเดือนประจำ” รายได้ก็คงมาจาก เงินเดือน, โบนัสสิ้นปี, เบี้ยขยัน, ค่าคอมมิชชั่น
2. “รับจ้างฟรีแลนซ์” รายได้ก็มาจากการรับทำงานแต่ละชิ้นเป็นครั้งเป็นคราว
3. “เจ้าของธุรกิจ” รายได้มาจากยอดขายสินค้าและบริการ
4. “นักลงทุน” รายได้มาจาก กำไรและเงินปันผลจากการลงทุนใน สินทรัพย์ หรือ ASSETต่างๆ

ทีนี้มาดูปัญหาของคนส่วนใหญ่ ซึ่งหลักๆแล้วน่าจะพบเจอได้มากจากอาชีพในสองแบบแรกคือ พนักงานเงินเดือนประจำและรับจ้างฟรีแลนซ์ เช่น เงินเดือนไม่พอใช้ อยากได้รถ อยากได้บ้าน ติดหนี้บัตรเครดิต ส่วนพวกรับจ้างฟรีแลนซ์ก็รายได้ไม่ค่อยคงที่ บางเดือนก็ไม่ค่อยมีงาน เงินก็เลยไม่ค่อยจะเหลือ ใช้เดือนชนเดือน เป็นต้น

และเมื่อปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ คนพวกนี้จะวาดฝันของตัวเองว่า จะต้องมี “ธุรกิจ” เป็นของตัวเองให้ได้ เพื่อที่จะได้รวยและสุขสบายสักที ............ที่พูดมา ไม่ได้จะบอกว่าการอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองนั้นคือความคิดที่ผิดนะครับ เพียงแต่ประเด็นที่อยากจะบอกคือ คุณลืมไปหรือเปล่าว่ายังมีอีกอาชีพหนึ่งที่จะทำให้คุณร่ำรวยได้จริงเหมือนกัน และคุณสามารถทำได้เลยไม่ว่าตอนนี้คุณจะทำอาชีพอะไรอยู่ก็แล้วแต่ นั่นคืออาชีพ “นักลงทุน” ไงหล่ะ

เท่าที่ผมทราบ คนส่วนใหญ่ มองข้ามการเป็นนักลงทุนด้วยเหตุผลหลักๆคือ ยังไม่มีความรู้ หรือ ยังไม่รู้จักคำว่า “สินทรัพย์ หรือ ASSET” ดีพอ 
แล้วอะไรบ้างหล่ะที่เป็น สินทรัพย์ หรือ ASSET ? …………..ยกตัวอย่างเช่น ที่ดิน หุ้น กองทุนต่างๆ ทองคำ พันธบัตร เป็นต้น

แล้วทำไมผมถึงแนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ อันนี้มันอยู่ที่มุมมองหรือ mindset ของแต่ละคน หากผมอ้างอิงถึงคำว่า “เงินเฟ้อ” ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในระยะยาว นั่นส่งผลกระทบให้ “เงิน” ยิ่งมีค่าน้อยลงเรื่อยๆ ส่วน “สินทรัพย์” ต่างๆจะแพงขึ้นหรือมีมูลค่ามากขึ้นเรื่อยๆในระยะยาวนั่นเอง นั่นแปลว่า หากใครรู้จักจัดการและวางแผนการลงทุนในสินทรัพย์ได้ดี คุณจะมีโอกาสรวยไม่รู้เรื่องเช่นกัน

ในโลกที่เงินเฟ้อสูงแบบนี้ ใครที่ลงทุนในสินทรัพย์ ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งรวย นั่นคือสาเหตุที่ทำให้คนรวยอยู่แล้ว ยิ่งรวยมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพวกเค้าลงทุนหรือถือ สินทรัพย์ มากกว่าคนจนนั่นเอง หากคุณลองดูคนรวยขนาดที่ไม่ต้องทำงานแล้วในชีวิตนี้ ผมรับรองว่าทุกคนมีสินทรัพย์ในครอบครองอยู่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น ที่ดิน หรือ หุ้น ก็ตาม

แล้วคนจนหล่ะ ทำไงให้รวย? ก็ลงทุนในสินทรัพย์สิครับ นี่แหล่ะคือคำตอบ เพราะ “สินทรัพย์” คือเครื่องมือผลิตเงินที่ดีที่สุดในโลกนี้ เชื่อผมสิ เริ่มต้นเลยตั้งแต่วันนี้ยังไม่สาย ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งดี โอกาสก็ยิ่งสูง