Thursday, November 7, 2013

คุณค่าจากบทสนทนา

ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนอยู่มัธยม เพื่อนผมคนนี้เป็นถึงประธานนักเรียน ด้วยความที่เป็นคนเรียนเก่งและความประพฤติดีมาโดยตลอด
หลังจากจบ ม.6 เพื่อนผมก็เลือกเรียนคณะวิทยาศาสตร์สาขา micro biology ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
เค้าเป็นคนที่ชอบเรียนวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะวิชาชีวะวิทยา และคุณแม่ก็ปลูกฝังให้เรียนสายวิทย์มาตลอด
แต่แล้วสุดท้าย ว่าที่นักวิทยาศาสตร์คนนี้ กลับผันชีวิตตัวเอง กลายมาเป็นช่างถ่ายภาพฝีมือดีคนหนึ่งของเมืองไทย ทำไมถึงเป็นแบบนี้?

เรามาดูกัน!!

ผม : เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเลือกมาถ่ายรูป?

เพื่อน : ตอนแรกที่เรียนคณะวิทยาศาสตร์ ก็สนุกดีนะ แต่พอมาถึงจุดหนึ่งที่ต้องเลือกว่า เราจะสามารถทำงานนี้ไปตลอดชีวิตได้มั๊ย? คำตอบคือ ไม่ได้!!!
เพราะคิดว่าเราไม่สามารถอยู่ในห้องแลบทั้งวันไปตลอดชีวิตได้ เลยตัดสินใจหาอย่างอื่นทำแทน ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้จักการใช้กล้องเลยด้วยซ้ำ

ผม : แล้วอะไรถึงชักนำเรามาทางนี้ได้?

เพื่อน : ความบังเอิญนะ!! ลองทำหลายๆอย่าง ไปฝึกงานฟรีๆก็มี ไปลองเรียนรู้งาน แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เคยฝึกงานที่ห้าง ได้เจอเพื่อนเก่าที่เรียนคณะสถาปัตย์
เลยได้ลองเรียนรู้จากเพื่อน และนี่คือจุดเริ่มต้นที่เริ่มรู้จักการใช้กล้อง

แต่ก็ยอมรับนะว่าตอนแรกๆ ทำเพราะไม่รู้จะทำอะไร ก็แค่ถ่ายรูปฆ่าเวลาสนุกๆเพราะตกงาน นอกจากวิทยาศาสตร์ ก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะทำอะไรที่มันได้เงิน
เพราะตอนเรียนจบ ดันไปปากดีบอกกับแม่ว่า จะไม่ขอเงินแม่ใช้ จะหาด้วยตัวเอง ทีนี้ มันก็ต้องดิ้นรนไง

พอถ่ายไปเรื่อยๆเริ่มติดใจ และก็คงโชคดีที่มีคนมาชอบผลงานของเรา ก็เลยเริ่มรับงานถ่ายรูป และก็ค่อยๆมีงานเข้ามาเรื่อยๆ
แรกๆก็เห็นว่าคนเค้าชอบจ้างถ่ายรูปรับปริญญากัน ได้เงินนิดๆหน่อยๆ เราก็เริ่มมาจากตรงนั้นแหล่ะ

ผม : แล้วจนถึงวันนี้ คิดว่าตัดสินใจถูกมั๊ย ที่เลือกเป็นช่างภาพ?

เพื่อน : โห ถูกมาก!!! รู้สึกรักงานถ่ายภาพมาก ถ้าเราทำงานที่เรารัก เราก็จะไม่รู้สึกเหมือนว่าเราทำงานอยู่ รู้สึกสนุกทุกครั้งที่ออกไปถ่ายรูป

ผม : อืม แต่ขึ้นชื่อว่างาน ทุกงานก็น่าจะต้องเจออุปสรรคบ้าง แล้วถ่ายรูปนี่เคยเจอปัญหาหนักๆบ้างมั๊ย?

เพื่อน : มีนะ แต่ละสายงานมันก็ยากง่ายต่างกัน เริ่มจากถ่ายรูปงานรับปริญญา สายงานนี้ไม่ยากมาก ไม่ค่อยเครียด แต่ปัญหาเคยเกิดตอนที่รับงานติดๆกันจนไม่ได้พัก
สุดท้ายร่างกายไม่ไหว นั่งๆอยู่สลบไปเลย ไม่รู้ตัว น่าจะเป็นเพราะเหนื่อยสะสมนะ

แต่พอเริ่มรับสายงานอื่นเพิ่ม เริ่มถ่ายแมกกาซีน ไม่เหนื่อย แต่กดดันมาก อย่างถ่ายดาราฮอลลีวู้ดหรือทายาทมหาเศรษฐีที่บินมาเมืองไทยบางคน มีเวลาให้แค่ 5 นาที
เพราะเค้าต้องไปทำธุระต่อ เราก็ต้องถ่ายให้สวยที่สุด ในเวลาที่จำกัดแบบนี้หล่ะ

สายงานต่อมาคือ ถ่ายงานโฆษณา อันนี้ ทั้งเยอะ และเครียด ตั้งแต่คิดงานละ ว่าต้องเสนอความคิดยังไงให้ลูกค้าซื้องาน และจะถ่ายยังไงให้ทัน และออกมาดีด้วย
สรุปคือแต่ละสายงาน มันก็มีความยากง่ายที่ต่างกันออกไป

จากบทสนทนาระหว่างผมและเพื่อนก็สรุปมาได้ประมาณนี้

ในมุมมองของผม ผมได้สรุป “คุณค่า” ที่ได้รับจากบทสนทนานี้เอาไว้ 4 ข้อ

ข้อที่1. สิ่งที่ได้เรียนรู้จากบทสนทนานี้คือ “การค้นหาตัวเอง” เริ่มมาจาก “การตั้งคำถาม” กับตัวเอง ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นใช่หรือยัง
ถ้าคำตอบคือยังไม่ใช่ ก็ให้เราเดินออกจากจุดเดิม มาเปิดหูเปิดตา เดินออกมาสู่โลกกว้างในมุมมองใหม่ๆ ได้ลองทำในสิ่งใหม่ๆ เพื่อค้นหาตัวเองให้เจอ

ข้อที่2. หลายคนมองสิ่งที่ไม่เคยทำ สิ่งที่ไม่เคยเรียนมา สิ่งที่ชีวิตนี้ไม่เคยได้สัมผัส ว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จนกลายเป็นศัตรูตัวร้าย ที่ตีกรอบให้กับชีวิตของตัวเอง
ว่า “เราทำไม่ได้หรอก เพราะเราไม่ได้เรียนมา หรือเราไม่เคยทำ”

“เปิดใจ” และยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ แล้วชีวิตคุณจะได้เจอหนทางที่หลากหลาย เชื่อผมเถอะครับ มัวแต่อยู่ในกรอบ อยู่แต่ในกะลา
มันก็ได้แค่ คุณค่าแค่ในกรอบ คุณค่าแค่ในกะลา ตามนั้นแหล่ะครับ

ข้อที่3. เมื่อเราได้ค้นพบสิ่งที่ใช่สำหรับเราแล้ว ก็จงตั้งใจทำให้ดีที่สุด และจงมุ่งมั่นที่จะ ”พัฒนาตัวเอง” อยู่เสมอ อย่าได้จมอยู่กับที่ “คนเราอย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง” เพราะความรู้บนโลกใบนี้มันไม่มีที่สิ้นสุด และเมื่อไหร่ที่เราพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ คุณจะรู้สึกถึง ”คุณค่า” ในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ”มากขึ้น” เช่นกัน

ข้อที่4. ขึ้นชื่อว่า “งาน” ย่อมต้องลงแรงหรือไม่ก็ต้องลงความคิด ย่อมต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปมองหางานที่มันไม่เหนื่อย เพราะมันไม่มีในโลก
การที่เราได้ทำงานที่เรารัก ต่อให้ความรักในงานนั้นจะช่วยลดความเหนื่อยลงไปไม่ได้ แต่อย่างน้อย คุณก็มั่นใจได้ว่า
คุณได้เหนื่อยอย่างมี ”ความสุข” เพียงเท่านี้ ชีวิตคุณก็มีค่าแล้ว ใช่มั๊ยครับ


ในช่วงเวลาที่เค้าต้องออกมาดิ้นรนค้นหาตัวเอง ปากกัดตีนถีบ ยืมเงินคนอื่นกินข้าวบ้าง ท้อแท้บ้าง
แต่สุดท้าย เมื่อได้เจอทางที่ใช่แล้ว และได้ทำมันอย่างเต็มที่ ทุกอย่างที่เข้ามาทดแทน คือ ความรัก และ ความสุข
ดังนั้น ผมเชื่อว่า เค้าคงไม่เสียดายเวลาที่เค้าต้องเสียไปกับช่วงชีวิตที่เลวร้ายเลยแม้แต่น้อย เพราะช่วงชีวิตที่เลวร้ายทั้งหมดนี้
ได้สร้าง “คุณค่า” ให้แก่ชีวิตของเค้า อย่างที่ใครๆหลายคนไม่มีและกำลังตามหากันอยู่

“ไม่มีใคร ประสบความสำเร็จ ได้ด้วยความบังเอิญ”

ขอบคุณบทสนทนาดีๆจากเพื่อนของผม ที่ทำให้ผมนำมาแบ่งปันความคิด ต่อยอดให้เพื่อนมนุษย์นำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป