Monday, February 10, 2014

"คิดสวนทาง" นี่อาจจะเป็นหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตคุณได้ แนะนำให้อ่านครับ



เนื้อหาเกี่ยวกับวิธีคิดสวนทาง ไม่ใช่ทฤษฏี แต่เกิดจากประสบการณ์จริงบนเส้นทางสิบเจ็ดปีของผู้เขียนที่ได้ก่อตั้งบริษัทสองบริษัทโดยใช้หลักการนี้เป็นเครื่องมือสร้างบริษัททั้งสองจากความไม่มีอะไร

เป็นหนังสือที่ผมคิดว่า ถ้าหลายคนได้อ่านแล้วจะมีพลัง มีไอเดีย ที่นำไปต่อยอดได้ในชีวิตและธุรกิจรวมไปถึงการลงทุนได้ไม่น้อยอย่างแน่นอน

แล้วที่ว่าเป็นหนังสือช่วยชาติ คืออะไร? คำตอบคือ รายได้ทั้งหมดจากการจำหน่ายหนังสือเล่มนี้หลังจากหักค่าจัดจำหน่ายแล้ว จะนำไปบริจาคให้กับกองทุนสามกอง
1. บริจาคให้กับมูลนิธิยุวพัฒน์เพื่อเป็นทุนการศึกษากับเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์
2. ใช้เป็นทุนทรัพย์ในการต่อต้านคอรัปชั่น
3. บริจาคให้กับพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธีหรือท่าน ว. เพื่อให้ท่านนำไปใช้ในกิจที่ท่านเห็นเหมาะสม

หนังสือ “คิดสวนทาง” ราคาเล่มละ 195 บาท มีจำหน่ายที่ร้านขายหนังสือทั่วไป อย่างเช่น Se-ed, B2S, ร้านนายอินทร์

และนี่คือบทความบางตอนจากในหนังสือที่ผมชอบมาก

“มีลูกมีหลานให้พวกเขาเลือกทำงานลำบาก งานท้าทายที่คนไม่ชอบทำ นั่นคือมหาวิทยาลัยของชีวิตจริง อย่าเลือกงานเพียงเพราะต้องการได้เงินเดือนสูงๆ อย่าเลือกที่ทำงานเพราะบริษัทนั้นๆมีชื่อเสียง อย่าเลือกงานเพียงเพราะต้องการความมั่นคงในชีวิต เมื่อคุณปีนภูเขาข้ามสำเร็จ ค่าตัวคุณจะมีมูลค่ามหาศาล คราวนี้ spotlight ของวงการจะส่องมาที่คุณ แล้วเงินทองจะไหลมาเทมา แบบที่คุณเก็บไม่ทัน”

“ผมมีความเชื่อว่าโอกาสในชีวิตของคนเราไม่ได้ยืนรอเราเป็นเวลาหลายๆวันที่หน้าประตูบ้าน โอกาสมันเปรียบเสมือนลม พัดมาแล้วพัดไป คนส่วนมากจะต้องรอให้ข้อมูลครบถ้วนแล้วค่อยตัดสินใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องแสดงความเสียใจกับคุณ เพราะคุณจะตกขบวนรถไฟที่มีชื่อว่า โอกาสของชีวิต”

“เร่งความรวย”

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายคนมีความคิด “อยากรวยเร็ว” และนั่นถือเป็นเหตุผลสำคัญอีกอย่างที่ทำให้บางคนเลือกเดินทางที่ผิด เช่น เล่นการพนัน ขายยาบ้า ขายตัว ค้าอาวุธ ค้าของเถื่อน เป็นต้น

หากคุณอยากจะเป็นเศรษฐีทางลัดด้วยวิธีข้างต้นนี้ บอกเลยว่านั่นเป็นความคิดที่มักง่ายเกินไป เพราะคุณได้เอาทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไปเสี่ยงกับสิ่งที่คุณ “ไม่สามารถควบคุมได้” และนั่นจะทำให้ชีวิตของคุณต้องเจอกับเรื่องแย่ๆตามมาโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น สุขภาพแย่ลง มีแต่ความเครียด เจอแต่คนแย่ๆรอบตัว สังคมรังเกียจ เผลอๆถ้าพลาด อาจทำให้หมดตัวหรือถึงขั้นทำอะไรสิ้นคิดเลยก็ได้

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันยังมีหนทางที่ดีอีกมากมายที่จะทำให้ชีวิตคุณ”มั่งคั่ง”และ”มั่นคง”ได้  และผมเชื่อว่าปัจจัยที่ทุกคนต้องการในชีวิตหลักๆแล้วมีอยู่สามประการ นั่นคือ เงิน เวลา และ สุขภาพ และทั้งสามอย่างนี้รวมกันกลายเป็น “ความสุข” นั่นเอง

แล้วอะไรที่จะทำให้เราได้ทั้งสามอย่างนี้พร้อมกัน โดยที่ไม่ต้องเลือกเดินทางที่ผิด?

1. สิ่งแรกเลยคือ งานหรือธุรกิจที่ทำรายได้หลักให้กับคุณ คุณต้องสนุกและรักในสิ่งนั้นก่อน ถ้าไม่ใช่ คุณควรหาตัวเลือกอื่นอย่างด่วนที่สุดเลยครับ เพราะมันจะทำให้คุณเสียเวลาและสุขภาพโดยที่คุณไม่รู้ตัว

2. เมื่อคุณมีรายได้หลักจากงานที่รักอยู่แล้ว คุณก็เพิ่มช่องทางหารายได้เสริมกับงานหรือธุรกิจอะไรก็ได้ที่คุณรักอีกสิครับ ผมเชื่อว่าสิ่งที่คนเราอยากทำมีมากกว่า1อย่าง แต่นึกกันไม่ออกเองมากกว่า และการทำงานมากกว่าหนึ่งอย่าง จะทำให้ความเสี่ยงทางด้านการเงินของคุณลดลง และมีโอกาสเติบโตมั่นคงได้เร็วขึ้นด้วย ซึ่งจริงๆแล้วมันมีงานอีกมากมายที่คุณสามารถทำเพิ่มได้โดยไม่ต้องเสียเวลากับมันเยอะ ลองคิดดูดีๆครับ

3. ข้อนี้ถือว่าbasicมาก นั่นคือ การประหยัด ใช้เงินให้คุ้มค่า อย่าฟุ่มเฟือย ข้อนี้จริงๆไม่ต้องสอน ไม่ต้องแนะนำอะไรมาก เพราะพูดกันมากี่ปีกี่ชาติแล้ว และผมบอกเลยว่า นี่เป็นสิ่งที่จะทำให้คุณรวยได้จริงแต่หลายคนยังมองข้ามไป

4. ข้อนี้เป็นทีเด็ด ผมเรียกสิ่งนี้ว่า เครื่องมือเร่งความรวยอัจฉริยะ และสิ่งนั้นก็คือการลงทุนใน ASSET หรือ สินทรัพย์ ที่ผมมักจะพูดอยู่บ่อยๆนั่นเอง
การลงทุนใน สินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นลงทุนในหุ้นเพื่อรับปันผลทุกปีหรือได้ส่วนต่างราคาหุ้น พันธบัตรรัฐบาล ที่ดิน กองทุน และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสินทรัพย์ที่ดีนั้นจะมาในรูปแบบ PASSIVE INCOME หรือ เป็นเครื่องผลิตเงินให้คุณอัตโนมัติโดยที่คุณไม่ต้องทำงาน เพราะเวลายิ่งผ่านไปมันจะยิ่งคอยเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆเอง เพียงแค่คุณปล่อยมันไว้เฉยๆ และสิ่งนี้เองที่เป็นเครื่องมือเร่งความรวยที่ดีที่สุด เช่นซื้อหุ้นปันผลปล่อยทิ้งไว้เฉยๆคุณก็จะได้เงินปันผลทุกๆปีโดยไม่ต้องทำอะไรเลย แถมยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยหากหุ้นที่ลงทุนเป็นหุ้นของบริษัทที่มีการเติบโตดีทำให้ราคาหุ้นในตลาดเพิ่มขึ้นและสัดส่วนเงินปันผลก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เป็นต้น

ครับ ทั้งหมดมีแค่ 4 ข้อ ที่ผมแนะนำ คือ ทำงานที่เรารักและสนุกกับมัน, หารายได้ให้มากกว่าหนึ่งทาง, ประหยัด รู้คุณค่าของเงิน, ต่อยอดการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆที่จะเพิ่มมูลค่าตามกาลเวลา
และทั้ง 4 ข้อนี้ ผมไม่ได้ให้คุณเลือกข้อใดข้อหนึ่ง แต่ผมแนะนำให้ทำพร้อมกันทั้งหมด ทุกคนมีความสามารถพอที่จะทำได้เหมือนกัน ผมเชื่อว่าคนที่ทำได้4ข้อนี้ จะมีอิสรภาพทางการเงินได้อย่างรวดเร็วอย่างไม่คาดคิด และเมื่อถึงเวลานั้น คุณจะมีทั้งเงิน เวลา และสุขภาพที่ดี อย่ามัวรออะไรอยู่เลย เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ ทุกคนทำได้ครับ ขอให้โชคดี

ที่มา:
Column: investor talk @ 8gg magazine (FREE)
สามารถอ่าน 8gg Magazine ได้ที่
1. อ่านออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.8ggmagazine.com
2.ดาวน์โหลด http://bit.ly/1fXgUYr
3. ดาวน์โหลดผ่านสมาร์ทโฟนได้ผ่านแอพพลิเคชั่น Ookbee ( เฉพาะ iOS ), และ (Android) มีทั้ง AIS Book Store และ B2S BookStore

การให้

อย่าให้ปลาแก่เขา แต่จงสอนเขาตกปลา

จงสอนให้เขาปลูกข้าว แต่อย่าเอาข้าวไปให้เขากิน

คิดว่าหลายคนคงพอจะเคยเห็น 2 ประโยคข้างต้นมากันบ้างแล้ว ตัวผมเองมีความเชื่อในเรื่องนี้มานาน คนเราเกิดมาเป็นผู้รับก็ต้องรู้จักเป็นผู้ให้เช่นกัน

การให้สิ่งของหรือจะสู้การให้ปัญญา สิ่งของเมื่อให้ไปแล้วก็หมดได้ง่ายๆหากคนรับนำไปใช้อะไรผิดๆหรือไม่มีปัญญาที่จะทำให้เกิดประโยชน์ที่แท้จริง

นี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ผมหันมาสนใจงานเขียน จริงๆแล้วผมไม่ได้ชอบการเขียนมาตั้งแต่เด็ก และไม่ได้เขียนอะไรเก่งมากนัก ผมก็พยายามฝึกฝนมาเรื่อยๆ เพราะผมมองว่า การเขียนนี่แหล่ะ คือทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้ผมสื่อสาร ถ่ายทอด ความรู้และประสบการณ์ของผมที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆได้ดีที่สุด


ข้อดีของการเขียนก็คือ ผมได้ทบทวนความรู้และพัฒนาตัวเอง ทำให้ผมมีความจำที่ดีขึ้น ฉลาดขึ้น และผมสามารถแบ่งปันเรื่องราวต่างๆถึงคนหมู่มากได้ในคราวเดียวจากการเขียนหนึ่งครั้ง (ผมไม่ต้องมาเล่าเรื่องราวเดิมๆซ้ำๆให้ทีละคน และพวกคุณสามารถเลือกเวลาจะอ่านงานเขียนของผมเมื่อไหร่ก็ได้ และกี่รอบก็ได้) เป็นการบริหารเวลาอันสำคัญของทั้งคุณและผมได้ใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นในชีวิตต่อไป

“สินทรัพย์” เครื่องมือผลิตเงินที่ควรรู้จัก ถ้าอยาก “รวยและมั่นคง”

หากจะพูดถึงแหล่งที่มาของรายได้จากการทำงาน คงจะแบ่งได้ 4 แบบดังนี้ คือ 
1. “พนักงานเงินเดือนประจำ” รายได้ก็คงมาจาก เงินเดือน, โบนัสสิ้นปี, เบี้ยขยัน, ค่าคอมมิชชั่น
2. “รับจ้างฟรีแลนซ์” รายได้ก็มาจากการรับทำงานแต่ละชิ้นเป็นครั้งเป็นคราว
3. “เจ้าของธุรกิจ” รายได้มาจากยอดขายสินค้าและบริการ
4. “นักลงทุน” รายได้มาจาก กำไรและเงินปันผลจากการลงทุนใน สินทรัพย์ หรือ ASSETต่างๆ

ทีนี้มาดูปัญหาของคนส่วนใหญ่ ซึ่งหลักๆแล้วน่าจะพบเจอได้มากจากอาชีพในสองแบบแรกคือ พนักงานเงินเดือนประจำและรับจ้างฟรีแลนซ์ เช่น เงินเดือนไม่พอใช้ อยากได้รถ อยากได้บ้าน ติดหนี้บัตรเครดิต ส่วนพวกรับจ้างฟรีแลนซ์ก็รายได้ไม่ค่อยคงที่ บางเดือนก็ไม่ค่อยมีงาน เงินก็เลยไม่ค่อยจะเหลือ ใช้เดือนชนเดือน เป็นต้น

และเมื่อปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ คนพวกนี้จะวาดฝันของตัวเองว่า จะต้องมี “ธุรกิจ” เป็นของตัวเองให้ได้ เพื่อที่จะได้รวยและสุขสบายสักที ............ที่พูดมา ไม่ได้จะบอกว่าการอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองนั้นคือความคิดที่ผิดนะครับ เพียงแต่ประเด็นที่อยากจะบอกคือ คุณลืมไปหรือเปล่าว่ายังมีอีกอาชีพหนึ่งที่จะทำให้คุณร่ำรวยได้จริงเหมือนกัน และคุณสามารถทำได้เลยไม่ว่าตอนนี้คุณจะทำอาชีพอะไรอยู่ก็แล้วแต่ นั่นคืออาชีพ “นักลงทุน” ไงหล่ะ

เท่าที่ผมทราบ คนส่วนใหญ่ มองข้ามการเป็นนักลงทุนด้วยเหตุผลหลักๆคือ ยังไม่มีความรู้ หรือ ยังไม่รู้จักคำว่า “สินทรัพย์ หรือ ASSET” ดีพอ 
แล้วอะไรบ้างหล่ะที่เป็น สินทรัพย์ หรือ ASSET ? …………..ยกตัวอย่างเช่น ที่ดิน หุ้น กองทุนต่างๆ ทองคำ พันธบัตร เป็นต้น

แล้วทำไมผมถึงแนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ อันนี้มันอยู่ที่มุมมองหรือ mindset ของแต่ละคน หากผมอ้างอิงถึงคำว่า “เงินเฟ้อ” ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในระยะยาว นั่นส่งผลกระทบให้ “เงิน” ยิ่งมีค่าน้อยลงเรื่อยๆ ส่วน “สินทรัพย์” ต่างๆจะแพงขึ้นหรือมีมูลค่ามากขึ้นเรื่อยๆในระยะยาวนั่นเอง นั่นแปลว่า หากใครรู้จักจัดการและวางแผนการลงทุนในสินทรัพย์ได้ดี คุณจะมีโอกาสรวยไม่รู้เรื่องเช่นกัน

ในโลกที่เงินเฟ้อสูงแบบนี้ ใครที่ลงทุนในสินทรัพย์ ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งรวย นั่นคือสาเหตุที่ทำให้คนรวยอยู่แล้ว ยิ่งรวยมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพวกเค้าลงทุนหรือถือ สินทรัพย์ มากกว่าคนจนนั่นเอง หากคุณลองดูคนรวยขนาดที่ไม่ต้องทำงานแล้วในชีวิตนี้ ผมรับรองว่าทุกคนมีสินทรัพย์ในครอบครองอยู่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น ที่ดิน หรือ หุ้น ก็ตาม

แล้วคนจนหล่ะ ทำไงให้รวย? ก็ลงทุนในสินทรัพย์สิครับ นี่แหล่ะคือคำตอบ เพราะ “สินทรัพย์” คือเครื่องมือผลิตเงินที่ดีที่สุดในโลกนี้ เชื่อผมสิ เริ่มต้นเลยตั้งแต่วันนี้ยังไม่สาย ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งดี โอกาสก็ยิ่งสูง

Thursday, November 7, 2013

คุณค่าจากบทสนทนา

ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนอยู่มัธยม เพื่อนผมคนนี้เป็นถึงประธานนักเรียน ด้วยความที่เป็นคนเรียนเก่งและความประพฤติดีมาโดยตลอด
หลังจากจบ ม.6 เพื่อนผมก็เลือกเรียนคณะวิทยาศาสตร์สาขา micro biology ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
เค้าเป็นคนที่ชอบเรียนวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะวิชาชีวะวิทยา และคุณแม่ก็ปลูกฝังให้เรียนสายวิทย์มาตลอด
แต่แล้วสุดท้าย ว่าที่นักวิทยาศาสตร์คนนี้ กลับผันชีวิตตัวเอง กลายมาเป็นช่างถ่ายภาพฝีมือดีคนหนึ่งของเมืองไทย ทำไมถึงเป็นแบบนี้?

เรามาดูกัน!!

ผม : เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเลือกมาถ่ายรูป?

เพื่อน : ตอนแรกที่เรียนคณะวิทยาศาสตร์ ก็สนุกดีนะ แต่พอมาถึงจุดหนึ่งที่ต้องเลือกว่า เราจะสามารถทำงานนี้ไปตลอดชีวิตได้มั๊ย? คำตอบคือ ไม่ได้!!!
เพราะคิดว่าเราไม่สามารถอยู่ในห้องแลบทั้งวันไปตลอดชีวิตได้ เลยตัดสินใจหาอย่างอื่นทำแทน ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้จักการใช้กล้องเลยด้วยซ้ำ

ผม : แล้วอะไรถึงชักนำเรามาทางนี้ได้?

เพื่อน : ความบังเอิญนะ!! ลองทำหลายๆอย่าง ไปฝึกงานฟรีๆก็มี ไปลองเรียนรู้งาน แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เคยฝึกงานที่ห้าง ได้เจอเพื่อนเก่าที่เรียนคณะสถาปัตย์
เลยได้ลองเรียนรู้จากเพื่อน และนี่คือจุดเริ่มต้นที่เริ่มรู้จักการใช้กล้อง

แต่ก็ยอมรับนะว่าตอนแรกๆ ทำเพราะไม่รู้จะทำอะไร ก็แค่ถ่ายรูปฆ่าเวลาสนุกๆเพราะตกงาน นอกจากวิทยาศาสตร์ ก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะทำอะไรที่มันได้เงิน
เพราะตอนเรียนจบ ดันไปปากดีบอกกับแม่ว่า จะไม่ขอเงินแม่ใช้ จะหาด้วยตัวเอง ทีนี้ มันก็ต้องดิ้นรนไง

พอถ่ายไปเรื่อยๆเริ่มติดใจ และก็คงโชคดีที่มีคนมาชอบผลงานของเรา ก็เลยเริ่มรับงานถ่ายรูป และก็ค่อยๆมีงานเข้ามาเรื่อยๆ
แรกๆก็เห็นว่าคนเค้าชอบจ้างถ่ายรูปรับปริญญากัน ได้เงินนิดๆหน่อยๆ เราก็เริ่มมาจากตรงนั้นแหล่ะ

ผม : แล้วจนถึงวันนี้ คิดว่าตัดสินใจถูกมั๊ย ที่เลือกเป็นช่างภาพ?

เพื่อน : โห ถูกมาก!!! รู้สึกรักงานถ่ายภาพมาก ถ้าเราทำงานที่เรารัก เราก็จะไม่รู้สึกเหมือนว่าเราทำงานอยู่ รู้สึกสนุกทุกครั้งที่ออกไปถ่ายรูป

ผม : อืม แต่ขึ้นชื่อว่างาน ทุกงานก็น่าจะต้องเจออุปสรรคบ้าง แล้วถ่ายรูปนี่เคยเจอปัญหาหนักๆบ้างมั๊ย?

เพื่อน : มีนะ แต่ละสายงานมันก็ยากง่ายต่างกัน เริ่มจากถ่ายรูปงานรับปริญญา สายงานนี้ไม่ยากมาก ไม่ค่อยเครียด แต่ปัญหาเคยเกิดตอนที่รับงานติดๆกันจนไม่ได้พัก
สุดท้ายร่างกายไม่ไหว นั่งๆอยู่สลบไปเลย ไม่รู้ตัว น่าจะเป็นเพราะเหนื่อยสะสมนะ

แต่พอเริ่มรับสายงานอื่นเพิ่ม เริ่มถ่ายแมกกาซีน ไม่เหนื่อย แต่กดดันมาก อย่างถ่ายดาราฮอลลีวู้ดหรือทายาทมหาเศรษฐีที่บินมาเมืองไทยบางคน มีเวลาให้แค่ 5 นาที
เพราะเค้าต้องไปทำธุระต่อ เราก็ต้องถ่ายให้สวยที่สุด ในเวลาที่จำกัดแบบนี้หล่ะ

สายงานต่อมาคือ ถ่ายงานโฆษณา อันนี้ ทั้งเยอะ และเครียด ตั้งแต่คิดงานละ ว่าต้องเสนอความคิดยังไงให้ลูกค้าซื้องาน และจะถ่ายยังไงให้ทัน และออกมาดีด้วย
สรุปคือแต่ละสายงาน มันก็มีความยากง่ายที่ต่างกันออกไป

จากบทสนทนาระหว่างผมและเพื่อนก็สรุปมาได้ประมาณนี้

ในมุมมองของผม ผมได้สรุป “คุณค่า” ที่ได้รับจากบทสนทนานี้เอาไว้ 4 ข้อ

ข้อที่1. สิ่งที่ได้เรียนรู้จากบทสนทนานี้คือ “การค้นหาตัวเอง” เริ่มมาจาก “การตั้งคำถาม” กับตัวเอง ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นใช่หรือยัง
ถ้าคำตอบคือยังไม่ใช่ ก็ให้เราเดินออกจากจุดเดิม มาเปิดหูเปิดตา เดินออกมาสู่โลกกว้างในมุมมองใหม่ๆ ได้ลองทำในสิ่งใหม่ๆ เพื่อค้นหาตัวเองให้เจอ

ข้อที่2. หลายคนมองสิ่งที่ไม่เคยทำ สิ่งที่ไม่เคยเรียนมา สิ่งที่ชีวิตนี้ไม่เคยได้สัมผัส ว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จนกลายเป็นศัตรูตัวร้าย ที่ตีกรอบให้กับชีวิตของตัวเอง
ว่า “เราทำไม่ได้หรอก เพราะเราไม่ได้เรียนมา หรือเราไม่เคยทำ”

“เปิดใจ” และยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ แล้วชีวิตคุณจะได้เจอหนทางที่หลากหลาย เชื่อผมเถอะครับ มัวแต่อยู่ในกรอบ อยู่แต่ในกะลา
มันก็ได้แค่ คุณค่าแค่ในกรอบ คุณค่าแค่ในกะลา ตามนั้นแหล่ะครับ

ข้อที่3. เมื่อเราได้ค้นพบสิ่งที่ใช่สำหรับเราแล้ว ก็จงตั้งใจทำให้ดีที่สุด และจงมุ่งมั่นที่จะ ”พัฒนาตัวเอง” อยู่เสมอ อย่าได้จมอยู่กับที่ “คนเราอย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง” เพราะความรู้บนโลกใบนี้มันไม่มีที่สิ้นสุด และเมื่อไหร่ที่เราพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ คุณจะรู้สึกถึง ”คุณค่า” ในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ”มากขึ้น” เช่นกัน

ข้อที่4. ขึ้นชื่อว่า “งาน” ย่อมต้องลงแรงหรือไม่ก็ต้องลงความคิด ย่อมต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปมองหางานที่มันไม่เหนื่อย เพราะมันไม่มีในโลก
การที่เราได้ทำงานที่เรารัก ต่อให้ความรักในงานนั้นจะช่วยลดความเหนื่อยลงไปไม่ได้ แต่อย่างน้อย คุณก็มั่นใจได้ว่า
คุณได้เหนื่อยอย่างมี ”ความสุข” เพียงเท่านี้ ชีวิตคุณก็มีค่าแล้ว ใช่มั๊ยครับ


ในช่วงเวลาที่เค้าต้องออกมาดิ้นรนค้นหาตัวเอง ปากกัดตีนถีบ ยืมเงินคนอื่นกินข้าวบ้าง ท้อแท้บ้าง
แต่สุดท้าย เมื่อได้เจอทางที่ใช่แล้ว และได้ทำมันอย่างเต็มที่ ทุกอย่างที่เข้ามาทดแทน คือ ความรัก และ ความสุข
ดังนั้น ผมเชื่อว่า เค้าคงไม่เสียดายเวลาที่เค้าต้องเสียไปกับช่วงชีวิตที่เลวร้ายเลยแม้แต่น้อย เพราะช่วงชีวิตที่เลวร้ายทั้งหมดนี้
ได้สร้าง “คุณค่า” ให้แก่ชีวิตของเค้า อย่างที่ใครๆหลายคนไม่มีและกำลังตามหากันอยู่

“ไม่มีใคร ประสบความสำเร็จ ได้ด้วยความบังเอิญ”

ขอบคุณบทสนทนาดีๆจากเพื่อนของผม ที่ทำให้ผมนำมาแบ่งปันความคิด ต่อยอดให้เพื่อนมนุษย์นำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป

Sunday, October 27, 2013

ชีวิต คือ การลงทุน

หากพูดถึงคำว่า "การลงทุน" ในมุมมองของผมจะหมายถึง

"การกระทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้ผลตอบแทนกลับมาอย่างน่าพอใจ ไม่ว่าผลตอบแทนนั้นจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม"

คนส่วนใหญ่มักจะมองที่ผลตอบแทนในรูปแบบของ "เงิน" เป็นหลัก 
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผลตอบแทนหลักที่ดีจริงๆ ควรเป็น "ความสุข" ต่างหาก

การไปเที่ยวพักผ่อน คือการลงทุน เพราะคุณต้องไป ถึงจะได้ความสุข ได้ประสบการณ์ ได้ความสนุกกลับมาจากทริปนั้น

การอ่านหนังสือ การสะสมของ การทำงาน การออกกำลังกาย การไปเรียน การฟังอบรม .......
ทุกๆอย่างคือการลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนอะไรสักอย่างกลับคืนมา

ทุกๆการกระทำ จะได้รับผลตอบแทนกลับมาในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายแข็งแรง รูปร่างดี ฉลาดขึ้น พูดได้เพิ่มอีกหนึ่งภาษา มีรายได้เสริม เป็นที่รู้จักมากขึ้น .........

สุดท้ายแล้วทุกๆผลตอบแทนนั้นล้วนแล้วแต่เพื่อตอบโจทย์ของคุณคือ เพื่อ "ความสุข"

ประเด็นที่ผมอยากจะบอกก็คือ

คิดจะทำอะไรสักอย่าง ให้ตั้ง "ความสุข" เป็นหลัก แล้วค่อยมองย้อนกลับมาว่าวิธีการคืออะไร เพราะนั่นจะทำให้คุณรู้ตัวอยู่ตลอดว่า ขนาดไหนที่เรียกว่า หย่อนเกินไป หรือ ตึงเกินไป

สุดท้ายแล้วพอคุณมีความสุขกับสิ่งที่คุณทำ คุณรักในสิ่งที่ทำ คุณก็จะสามารถทำสิ่งนั้นได้ดี และจะดีขึ้นไปเรื่อยๆอีก เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ผลตอบแทนอื่นๆ จะทยอยตามมาเองโดยอัตโนมัติ

ตอนนี้ผมมีความสุขมากกว่าเดิม ทั้งๆที่ผมตัดสินใจปฏิเสธเงินเดือนครึ่งแสน มารับเพียง 15,000 บาท เพราะงานในตอนนี้ทำให้ผมมองเห็นความก้าวหน้าและพัฒนาการที่ดีได้

ตอนนี้ผมมีความสุขมากกว่าเดิม แม้ว่างานปัจจุบันผมต้องทำงานแทบจะไม่มีวันได้หยุดเลยก็ตาม 

เหตุผลคือ งานส่วนใหญ่ที่ผมทำ มันคือ การพักผ่อนในแบบของผมนี่เอง ไม่ว่าจะเป็น การเขียนบทความการลงทุนให้คอลัมน์ใน magazine(ผมชอบเขียน ชอบอ่าน เลยทำให้สนุก), การคิดไอเดียงานที่แปลกใหม่ให้ลูกค้า(ผมชอบใช้ความคิด เหมือนเล่นเกมฝึกสมอง), การแต่งเพลง(แน่นอน ผมหลงรักในดนตรี), การลงทุน(แทบจะหลงรักเข้าเส้นเลือด)
และงานอื่นๆอีกมากมายที่ยังไม่ได้พูดถึงเช่นกัน

จะเห็นว่าผมทำงานหลายอย่างมาก แต่ทุกอย่างที่ผมเลือกทำ เป็นงานที่ผมรักและมีความสุขกับมัน 

ผมเลือก "ความสุข" มาก่อน "เงิน" 

อ่านมาถึงตรงนี้ อยากจะบอกว่าผมไม่ได้จะมาโลกสวย และไม่ได้บอกว่าเงินไม่สำคัญ แต่ที่ยกตัวอย่างให้เห็นคือ นอกจาก"เงิน"แล้ว ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามันยังมีรูปแบบอื่นอีกมากมาย เพียงแต่คุณจะมองเห็นมันรึเปล่า

และตอนนี้ผมก็มีความสุขมากกว่าเดิม เพราะ เดิมทีจาก "เงิน" ที่ผมให้ความสนใจเป็นรอง ตอนนี้มันกำลังกลับมาหาผมเองโดยอัตโนมัติจากสิ่งที่ผมเลือกทำทั้งหมด

เงินมันวิ่งเข้าหาคนที่มีปัญญา และเงินมันจะคงอยู่และงอกเงยต่อไปได้เมื่ออยู่กับคนที่มีปัญญาเช่นกัน ดังนั้นจงเลือกทำในสิ่งที่จะพัฒนาปัญญาและความสามรถของตัวเองได้ เดี๋ยวเงินมันก็ตามมาเอง ลองคิดดีๆนะครับ

แหม่ พูดซะดูดี เชื่อผมมั๊ย? ....................ไม่เชื่อ!!! ทำไงหล่ะ 

ก็ต้องลองทำดูสิครับ พูดมาได้ 555 เพราะผมลองมากแล้วนี่ไง ถึงเอามาเล่าให้ฟัง ถ้าไม่ลองจะรู้ได้ไง จริงมั๊ย?

กำลังใจ จาก "บุคคล"

คุณเคยลองถามตัวเองดูมั๊ยว่า

ทุกวันนี้ที่คุณต้องอดทนทำงานอย่างหนัก ต้องยอมเจอปัญหามากมาย
ต้องประหยัด ต้องขยัน ต้องอดหลับอดนอน ต้อง......เพื่อใคร?

หากคุณมี "คำตอบ" นั่นแปลว่า คุณมี "เป้าหมาย"

คุณไม่จำเป็นต้องไปบอกบุคคลเหล่านั้นหรือใครบนโลกนี้ให้รับรู้

คุณบอกกับ"ตัวเอง" ให้รับรู้และเข้าใจก็พอแล้ว

เพราะบุคคลเหล่านั้น
คือ "เป้าหมายที่ชัดเจน"
และเป็น "กำลังใจที่สำคัญ"

สำหรับผม วันนี้ผมมี"เป้าหมาย"ที่ชัดเจนแล้ว
สำหรับผม วันนี้ผมมี"กำลังใจ"ที่ดีแล้ว

และนั่นทำให้ผมมุ่งมั่นที่จะพยายามมากกว่าคนอื่นๆ 
ยอมที่จะขยันทำงานมากกว่าคนอื่น 
ยอมอดทนและลำบากมากกว่าคนอื่น 

แล้วพวกคุณหล่ะ หาสิ่งเหล่านี้เจอหรือยัง?