Sunday, September 29, 2013

เล่นหุ้น คือ การพนัน

ประโยค นี้เป็นที่ถกเถียงกันมานาน บางคนก็บอกว่าใช่ เป็นการพนันแน่นอน แต่บางคนก็ว่าเป็นการลงทุน ไม่ใช่การพนัน ผมได้ยินบ่อย จึงอยากจะเขียนอธิบายในมุมมอง(ส่วนตัว)ของผมดูบ้าง ลองดูละกันครับ

อันดับแรกเลย ถ้าพูดถึงการพนัน ผมจะนึกถึงอะไรบ้าง ง่ายๆ ก็จะมีพนันบอล ไฮโล โป๊กเกอร์ ไพ่ป๊อกเด้ง อะไรประมาณนี้คร่าวๆ
ต่อไป ผมมองว่าสิ่งที่จะแยกแยะว่าเป็นการพนันหรือไม่ ก็น่าจะเป็น “โอกาส หรือ ความน่าจะเป็น” หรือความเสี่ยงที่จะสียเงิน เช่นโอกาสเป็น 50/50 หรือ เรียกว่าเป็นการใช้ “ดวง” เล่น หรือความเสี่ยงในรอบนั้นๆ ถ้าเสียแล้วคือเสียเลย เอากลับมาไม่ได้ นอกจากจะไปหาเงินมาเล่นใหม่ ในครั้งต่อไป

ต่อไปขอเข้าสู่กระบวนการเปรียบเทียบ จะได้เห็นภาพชัดขึ้น

ถ้าผมมีเงินอยู่ก้อนนึงที่พร้อมจะทำอะไรต่อไปนี้ได้

ข้อแรก หากผมนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนทำธุรกิจร้านอาหาร หรือร้านเสื้อผ้า หรือร้านขายเครื่องสำอาง หรือธุรกิจอะไรก็ตาม ความเสี่ยงของผม น่าจะเป็น ความรู้และความเข้่าใจในธุรกิจนั้นๆ การบริหารงบการเงินและต้นทุนต่างๆ การตั้งราคาขาย การออกแบบสินค้า การวางแผนตลาด connectionsต่างๆ หากทั้งหมดนี้ผมไม่ได้มีความรู้หรือศึกษามาแล้วอย่างดีจริง ผมว่าสิ่งนี้ก็เรียกว่า ความเสี่ยง ไม่ต่างจากการพนัน เพราะอย่าลืมว่าคนทำธุรกิจเดียวกัน ที่เค้าเตรียมพร้อมมาอย่างดีในทุกๆด้านนั้น มีไม่น้อยนะครับ

ข้อสอง หากผมนำเงินก้อนนี้ไปฝากประจำกับธนาคารไว้เฉยๆ หากดอกเบี้ยผมได้ปีละ 4% ความเสี่ยงของผมก็คือ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทุกๆปี นั่นจะทำให้เงินของผมที่ฝากไว้มีค่าน้อยลงไปเรื่อยๆทุกปี ลองคิดดูดีๆนะครับ
ผมยกตัวอย่างเช่น หากเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมฝากธนาคารไว้ 20 บาท ได้ดอกเบี้ย 4% ทบต้น ในปีที่5 ผมจะมีเงินเป็น 24.33 บาทโดยประมาณ ในขณะเดียวกัน เมื่อ 5 ปีที่แล้วผมซื้อข้าวได้ 1 จาน ในราคา 20 บาท พอ 5 ปีต่อมา ราคาข้าว 1 จาน เท่ากับ 30 บาท (นี่คือเรื่องจริงนะครับ อัตราเงินเฟ้อของจริงบางทีมันรุนแรงกว่านี้ด้วยครับ) นั่นหมายถึง ในจำนวนเงินที่ผมเคยซื้อข้าวได้ 1 จาน หากผมเอาไปฝากธนาคาร อีก 5 ปี เงินผมก้อนเดิมนี้ต่อให้เพิ่มเป็น 24.33 บาท(ตามrateดอกเบี้ยธนาคารที่ผมได้จริง) ผมก็ซื้อข้าวกินไม่ได้แล้วนะครับ กรณีนี้ ผมถือว่าผมเสี่ยงแน่นอน
(คงไม่ต้องพูดถึงคนที่เก็บเงินไว้เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยนำครับ อัตราเงินเฟ้อมันก็จะค่อยๆกินมูลค่าเงินก้อนนั้นไปเรื่อยๆเองโดยอัตโนมัติ)

ข้อสาม หากผมนำเงินก้อนนี้มาลงทุนในตลาดหุ้น โดยที่ผมไม่มีความรู้อะไรเลย อ่านงบการเงินก็ไม่เป็น กำไรขาดทุนบริษัทดูที่ไหนก็ไม่รู้ หุ้นของบริษัทที่ลงทุนไป เค้าทำธุรกิจอะไร ขายอะไร ใครเป็นเจ้าของก็ไม่รู้ หรือบอกว่าตัวเองเล่นเทคนิคแต่ดูกราฟไม่เป็น เข้ามาเล่นตามคนอื่น ตามเพื่อน ตามข่าว โบรกให้ซื้อก็ซื้อ โบรกให้ขายก็ขาย แน่นอนครับในกรณีนี้ ผมถือว่า เสี่ยงไม่แพ้การพนันแน่นอน

และทั้งหมดที่ผมพูดมาในทุกๆตัวอย่าง น่าจะพอเห็นแล้วว่า ความเสี่ยงนั้นมีอยู่ในทุกๆข้อ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ซึ่งความเสี่ยงนั้นจะมากน้อยแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถ ความพร้อม ความถนัด และวิธีการต่างๆของ"ตัวบุคคล"นั้นๆเอง

สำหรับคำพูดที่ว่า “เล่นหุ้นคือการพนัน” มันจะเป็นจริง"เสมอ" สำหรับคนที่นำเงินมาเข้าตลาดหุ้นโดยไม่ศึกษามาให้พร้อม

ผมขอยืนยันเลยว่า ใครก็ตามที่ทำการอะไรก็แล้วแต่ โดยไม่พยายามศึกษาให้เข้าใจและไม่มีแบบแผนให้พร้อมเสียก่อน "ความเสี่ยง"ของคุณก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่เล่นพนันแน่นอน (เอะอะก็จะวัดดวงอย่างเดียว)

ผมหวังว่าทั้งหมดนี้จะเป็นไอเดียช่วยให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้นบ้างว่า....การที่จะเรียกสิ่งไหนว่า "การพนัน" มันขึ้นอยู่กับ..."อะไร" จริงๆกันแน่? (หวังว่าจะช่วยให้เข้าใจได้บ้างนะ 555)
- บ้าหุ้น -

คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น

ประโยคนี้ ในมุมมองของผม ผมมองว่ามันไม่ใช่ประโยคที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่ผมเริ่มเข้ามาเล่นหุ้นแล้วครับ

ข้อแรก ผมเริ่มเล่นหุ้นด้วยเงินหลักหมื่นต้นๆ และกว่าจะได้เงินก้อนนี้มา ผมก็เริ่มต้นจากศูนย์ ต้องทำงานเก็บเงินเลือดตาแทบกระเด็น เป็นการบ่งบอกว่าผมนี่แหล่ะครับ “คนจนเล่นหุ้น”

ข้องสอง เท่าที่ผมเจอมา คนที่รวยกว่าผม ไม่ว่าจะมีเงินแสน เงินล้าน สิบล้าน .........หลายๆคนก็เล่นหวย เล่นพนันบอลกันเยอะแยะ ข้อนี้ก็ยืนยันว่า “คนรวยก็เล่นหวย” ครับ

แต่ประเด็นที่ผมอยากจะบอกจริงๆก็คือ อย่ายึดติดกับคำพูดหรือประโยคอะไรแบบนี้ แล้วนำเอาไปคิด เอาไปตีกรอบตัวเองว่า “เอ้ย!!เรามันจนนี่หว่า งั้นก็ต้องเล่นหวยสิ เราจะไปเล่นหุ้นได้ยังไงกัน อันนั้นมันสำหรับคนมีการศึกษาสูงๆ คนรวยๆมีเงินเยอะๆเค้าเล่นกัน” แบบนี้เป็นวิธีคิดที่ไม่ดีเลยนะครับ

ลองดูหลายๆคนเป็นตัวอย่าง จะเห็นว่ามีมากมายที่เริ่มต้นเข้าสู่วงการลงทุน ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เริ่มต้นจากศูนย์หรือบางคนก็เริ่มจากติดลบด้วยซ้ำ คนเหล่านี้ก็ค่อยๆสร้างตัวขึ้นมา และก็มีคนก็ประสบความสำเร็จไปมากมายแล้ว

การที่คุณจะทำอะไร "ได้" หรือ "ไม่ได้" นั้น อย่าดึง “เงิน” เข้ามาเป็นปัจจัยแรก

เพราะนั่นจะเป็นตัวตีกรอบความคิดที่อันตรายมากที่สุด ให้คุณดึงความมุ่งมั่น ความตั้งใจที่จะเรียนรู้และศึกษา ความพยายาม ขยันและอดทน ออกมาเป็นตัวตั้ง ออกมาเป็นพลัง ว่าคุณเองก็สามารถทำได้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่กับการลงทุนอย่างเดียวนะ มันใช้ได้กับทุกอย่าง

อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆ อย่าคิดอะไรตื้นๆกับแค่เรื่องของ “เงิน” นะครับ
หนทางสู่ความสำเร็จ มีมากว่าแค่ "จำนวนเงิน" ลองคิดดูดีๆ
....ขอให้สู้กันต่อไป
- บ้าหุ้น -

มุมมองธรรมะ VS ประสบการณ์จริง

จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม(ของผม) ที่เข้ามาสู่วงการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น ผมสามารถหาคำตอบได้สิ่งหนึ่งก็คือ

"ธรรมะ" ทำให้ผมอยู่รอดในตลาดหุ้นมาจนถึงทุกวันนี้

มีคนเคยตลกกับคำพูดของผม ว่า ธรรมะกับการลงทุนมันขัดกัน เอามาใช้ด้วยกันจะไปรวยได้ยังไง ไม่เข้าใจ

สิ่งที่ผมสังเกตได้จากคำพูดนี้ ก็คือ ก็เพราะคุณยังไม่เข้าใจไงหล่ะ (ผมก็เคยไม่เข้าใจมาก่อนเหมือนกันเนี่ยแหล่ะ)

จริงๆแล้ว ถ้าใครที่ชอบหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาอ่าน น่าจะเคยเห็นกูรูหรือนักลงทุนชื่อดัง พูดถึงเรื่องของการลงทุนกับธรรมะมาบ้างแล้ว และก็น่าจะพอเข้าใจความหมายของมันไม่มากก็น้อย แต่วันนี้ ผมจะเอาประสบการณ์ของจริงที่เกิดขึ้นกับผมมาแชร์ให้เห็นภาพอีกมุมหนึ่ง

เราลองมาดูกัน!!!

1. การขาดทุนครั้งที่เลวร้ายที่สุดของผม เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวตั้งแต่เล่นหุ้นมา สาเหตุมาจาก "ความโลภ" ทั้งหมด ด้วยความคิดที่ว่า "ได้ทีรวยเละเลย" แต่ไม่ได้คิดสวนทางกันว่า แล้วถ้าเสียหล่ะ? เพราะตอนนั้นผมโดนกิเลสครอบงำแบบจริงจังมาก ผมทุ่มเงินหมดหน้าตักเข้าซื้อหุ้นที่มีข่าววงในออกมาถึงหูผม คาดว่าจะปั่นไปเท่านั้นเท่านี้
ผลลัพธ์ที่ได้คือ โดนจ้าวทุบเละครับ สติแตก ทำอะไรไม่ถูกครับ ไปไม่เป็นเลยครับงานนี้ ช๊อค กว่าจะตั้งสติได้อีกที เงินที่ผมพยายามต่อยอดจากการลงทุนมา 3-4 ปี ก็หายไปกว่าครึ่งหนึ่งของมันเป็นที่เรียบร้อย

เป็นประสบการณ์ที่ราคาแพงมากสำหรับผม แต่มันก็ทำให้ผมเข้าใจว่า การอยากรวยเร็วๆ ความโลภที่มี มันอันตรายจริงๆ และหากผมมีสติมากกว่านี้ มันคงจะช่วยให้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

2. ช่วงที่ผมฝึกเทรดหุ้นด้วยวิธีแบบ technical มันทำให้ผมเห็นความจริงอย่างนึงคือ ทุกครั้งที่เกิดความผิดพลาด ไม่เป็นไปตามทฤษฎี ผมจำเป็นต้อง cut loss .....แต่ผมไม่ทำ!!! เพราะ เข้าข้างตัวเอง ไม่ยอมรับความจริง คิดว่ามันน่าจะเด้งได้ สุดท้ายลงลึก เลยต้องขายขาดทุนกว่าเดิม เหตุการณ์ครั้งนี้มันทำให้ผมเข้าใจว่า ธรรมชาติของหุ้นมันเป็นแบบนี้ ไม่มีอะไรถูกต้องตามทฤษฎี100% และเมื่อผิดทางแล้วก็ต้องรู้ว่าผิด ให้รีบแก้ไข และการใช้อารมณ์เข้ามารบกวนระบบการเทรดที่มีวินัย มันก็เลยบรรลัยแบบนี้เอง


จริงๆหากเข้าใจธรรมะ ก็จะรู้ว่า ธรรมชาติของมนุษย์มีความกลัว ความโลภ มีกิเลสเป็นเรื่องปกติ เป็นธรรมดา  และเป็นธรรมชาติ
 
ตลาดหุ้น รวมถึงการเล่นหุ้น มันก็เป็นผลจากการกระทำที่ส่งต่อมาจากมนุษย์เรานี่เอง ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีคนฉลาด ก็ย่อมมีคนโง่ เมื่อมีคนกลัว ก็ต้องมีคนกล้า เมื่อมีคนอยากซื้อ มันก็ย่อมมีคนอยากจะขาย

สุดท้ายมันก็ส่งผลให้ราคาขึ้นและลง ตาม demand and supply หรือปัจจัยเหล่านี้เป็นปกติธรรมดา

หากเข้าใจหลักธรรมชาติเบื้องต้นแบบนี้แล้ว ผมว่า คุณมีแววจะอยู่ในตลาดหุ้นได้ยาวนานและมั่นคงได้ไม่ยาก
- บ้าหุ้น -

การ STOP LOSS สำคัญมั๊ย?

หากเป้าหมายการมาเล่นหุ้นของทุกคนเหมือนๆกันคือ "ได้กำไร"

ดังนั้น ไม่ว่าจะเล่นสั่น เล่นยาว เทคนิค VI หุ้นปั่น วงใน ตามโบรค หรือเล่นมั่ว....

ก็ทำไปเถอะครับ มีเป็นร้อยล้านวิธี ตามสไตล์ที่ตัวเองชอบหรือถนัด

แต่........

อย่าได้ลืมเหตุผลสำคัญอีกข้อนึงด้วยนะ คือ ระวัง "การขาดทุน"

ก็พูดกันไป พูดง่ายนะ ว่าต้องไม่ขาดทุน แต่ทำจริงมันยากมากกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!

เพราะความยากนี่แหล่ะ ถึงต้องมีเครื่องมือที่ใช้ "จำกัด"การขาดทุน 

แม้จะไม่ได้ป้องกันขาดทุนได้100% แต่อย่างน้อย ทุนก็ไม่หายหมดหรือไม่เจ๊ง
เมื่อมีจุด STOP LOSS เราก็ยังสามารถเอาตัวรอดออกมาได้ เราจะยังคงมีทุนเหลือไว้แก้ตัวได้

ในครั้งต่อๆไปอีกด้วย

และนี่คือเหตุผลของการต้องเรียนรู้วิธี "STOP LOSS" ไว้เป็นวิชาป้องกันตัว (สำคัญมากนะ จะบอกให้)

-บ้าหุ้น-

แนวคิดเบื้องต้นก่อนเริ่มลงทุน

หากถามถึง”วิธีคิด” ในการเลือกลงทุนหุ้น ว่าเริ่มต้นคิดอย่างไร
“สำหรับผม” ผมจะคิดถึงหลักปัจจัยที่มีเหตุและผลเป็นลำดับขั้นตอน ดังนี้

1.เลือกปัจจัยหลักใหญ่ๆ หรือ MEGA TREND มาเป็นเหตุผลหลักในลำดับแรก

2.คำนึงหรือคาดการณ์ ถึงผลที่น่าจะเกิดขึ้นจากปัจจัยข้อแรก เพื่อจะได้มองเห็นภาพได้ลึกขึ้นว่า

บริษัทไหนได้หรือเสียจากเหตุปัจจัยนั้นๆ

3.เมื่อเห็นภาพว่ามีบริษัทไหนที่เข้าเกณฑ์บ้างแล้วก็ค่อยเจาะลึกดูพื้นฐานบริษัท

4เริ่มแผนลงทุนด้วย”วิธีของตัวเอง”

ผมขอยกตัวอย่างสักอันให้เห็นภาพชัดขึ้น

ขอยกตัวอย่างจากปัจจัยที่เพิ่งจะผ่านมาไม่นานมากนักละกัน เช่น
ปัจจัยหรือเหตุ คือ "โครงการรถคันแรก" ส่วนผลที่น่าจะตามมาคือ คนซื้อรถง่ายและเยอะขึ้น รถติด คนใช้รถบนถนนมากขึ้น คนใช้เวลาอยู่บนถนนนานขึ้น หลังจากนั้นก็มาคิดว่าบริษัทอะไรน่าจะเกี่ยวข้องบ้าง

ผมยกตัวอย่างว่า บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่รถน่าจะได้ผลดี รถติดคนก็น่าจะใช้ทางด่วนมากขึ้นหรือใช้ช่องทางอื่นเช่นรถไฟฟ้ามากขึ้นตามไปด้วย หรือเนื่องจากรถติดมากขึ้น คนก็จะใช้ชีวิตบนท้องถนนนานขึ้น พวกบริษัทป้ายโฆษณาตามท้องถนนก็น่าจะได้ผลดีตามไปด้วย สุดท้ายพอคัดเลือกบริษัทจากความน่าจะเป็นเหล่านี้มาได้ ก็นำมาดูความแข็งแกร่งของแต่ละบริษัท วิเคราะห์งบการเงิน การจ่ายปันผล ประวัติการเติบโตต่างๆอย่างละเอียด ถึงขั้นตอนสุดท้ายผมก็ค่อยมาดูกันที่ราคาที่เหมาะสมและวางแผนลงทุนด้วยวิธีการลงทุนที่ตัวเองถนัด

และนี่ก็คือวิธีคร่าวๆที่น่าจะนำไปต่อยอดได้อีก แล้วพวกคุณหล่ะครับ วางแผนการลงทุนกันไว้แบบไหน?

-บ้าหุ้น-

ทำความรู้จักกับงบการเงินเบื้องต้น



(งบดุล)

งบดุล หรืองบแสดงฐานะทางการเงิน บ่งบอกถึงฐานะและความมั่นคงของกิจการบริษัทนั้นๆ บ่งบอกถึงสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้น

1. สินทรัพย์ คือ สิทธิและทรัพยากรที่กิจการมีอยู่ ซึ่งเกิดจากการประกอบการ และสามารถแสดงเป็นตัวเงิน สามารถที่จะให้ประโยชน์ในอนาคต ซึ่งแบ่งออกเป็น

- สินทรัพย์หมุนเวียน หมายถึง เงินสดหรือสินทรัพย์อื่นๆที่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเงินสดได้ภายในระยะเวลา 1 ปี หรือ1 รอบระยะเวลาการดำเนินงานตามปกติของกิจการ เช่น เงินสด เงินฝากธนาคาร ลูกหนี้ที่สามรารถชำระภายในรอบระยะเวลาบัญชี สินค้าคงเหลือ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายล่วงหน้าอื่นๆ เช่นค่าเช่าจ่ายล่วงหน้า

- สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน หมายถึง สินทรัพย์ ที่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายใน 1 ปีหรือ 1รอบระยะบัญชีของกิจการ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามาก และมีความถาวร เช่น อาคาร ที่ดิน รวมไปถึงเงินลงทุนในบริษัทอื่นๆ ที่ลงทุนในระยะยาว

2. หนี้สิน คือ พันธะผูกพันที่บุคคลภายนอกได้แก่เจ้าหนี้มีต่อกิจการอันเกิดจากรายการทาง ธุรกิจ การกู้ยืมหรือจากเหตุการณ์อื่นๆ ที่จะต้องชำระคืนในภายหน้าด้วยสินทรัพย์หรือบริการ ตัวอย่างของหนี้สินของหนี้สิน เช่น เจ้าหนี้การค้า เจ้าหนี้เงินกู้ ตั๋วเงินจ่าย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

- หนี้สินหมุนเวียน คือ พันธะผูกพันที่ต้องมีการจ่ายชำระคืนแก่เจ้าหนี้ไม่เกิน 1 ปี หรือในรอบระยะเวลาการปฏิบัติงานตามปกติของกิจการ เช่นเจ้าหนี้ทางการค้า ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย

- หนี้สินระยะยาว คือ หนี้สินที่มีกำหนดชำระมากกว่า 1 ปี หรือเกินกว่าระยะเวลาการปฏิบัติงานตามปกติของกิจการ เช่น หุ้นกู้ เงินกู้ระยะยาว

3. ส่วนของผู้ถือหุ้น คือ สิทธิเรียกร้องหรือส่วนได้เสียที่เจ้าของมีอยู่เหนือสินทรัพย์ หลังจากได้หักสิทธิเรียกร้องที่เป็นของเจ้าหนี้ออกไปแล้ว หรือกล่าวได้ว่าคือสินทรัพย์สุทธิ หรือส่วนที่สินทรัพย์มากกว่าหนี้สิน (สินทรัพย์ – หนี้สิน = ส่วนของผู้ถือหุ้น)




(งบกำไรขาดทุน)

งบ กำไรขาดทุน แสดงถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในงวดระยะเวลาบัญชีหนึ่ง ๆ ซึ่งโดยทั่วไปจะกำหนดให้เป็นรอบ 1 ปี หรือไตรมาส งบกำไรขาดทุน ประกอบด้วย รายการหลัก 3 รายการ คือ 

1) ยอดขายหรือรายได้ หมายถึง ผลตอบแทนที่ธุรกิจได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้านั้นๆ ซึ่งเกิดจากการคำนวณที่แน่นอนของจำนวนเงิน และยังรวมไปถึงรายได้จากการลงทุนการแลกเปลี่ยนสินค้า ดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืมเช่นกัน โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่

1.1) รายได้โดยตรง เป็นรายได้ที่สัมพันธ์โดยตรงหรือเกิดจากการดำเนินงานโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าหรือบริการต่างๆ ของกิจการ

1.2) รายได้อื่นๆ เป็นรายได้ที่นอกเหนือจากรายได้โดยตรง เช่น เกิดจากการขายสินทรัพย์ออกไป หรือรายได้จากเงินปันผลของบริษัทที่ไปร่วมลงทุนด้วย

2) ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หรือต้นทุน คือ ต้นทุนสินค้าหรือบริการที่กิจการได้จ่ายไปเพื่อก่อให้เกิดรายได้ และจะรวมไปถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดจากการดำเนินการเพื่อนำสินค้ามาขาย หรือ ค่าใช้จ่ายต่างๆที่ใช้ในการดำเนินกาของธุรกิจด้วย

3) กำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ หมายถึง ส่วนที่เกิดจากรายได้ หัก ค่าใช้จ่าย ในระยะรอบบัญชีนั้นๆ
(รายได้ – รายจ่าย = กำไร หรือ ขาดทุน)




(งบกระแสเงินสด)

งบ กระแสเงินสด หมายถึงงบการเงินที่แสดงการเคลื่อนไหวของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดของ กิจการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง งบกระแสเงินสดจะแสดงเงินสดที่ได้รับและจ่ายออกไปที่เกิดขึ้นตาม 3 กิจกรรม คือ 

1. กิจกรรมการดำเนินงาน หมายถึง กระแสเงินสดรับและกระแสเงินสดจ่ายจากการดำเนินงานหลักที่ก่อให้เกิดรายได้ ของกิจการและกิจกรรมอื่น ที่ไม่ใช่กิจกรรมการลงทุนหรือกิจกรรมการจัดหาเงิน

2. กิจกรรมการลงทุน หมายถึง กระแสเงินสดที่เกิดจากการซื้อและขายสินทรัพย์ระยะยาวและเงินลงทุนอื่นๆของ กิจการที่จะก่อให้เกิดรายได้และกระแสเงินสดรับในอนาคต เช่น เงินสดรับจากการขายเงินลงทุนระยะยาว ที่ดิน อาคาร หรือ อุปกรณ์ เงินสดจ่ายเพื่อซื้อเงินลงทุนระยะยาว ที่ดิน อาคาร หรืออุปกรณ์

3. กิจกรรมการจัดหาเงิน หมายถึง กระแสเงินสดที่ได้รับจากการลงทุนของเจ้าของ หรือการกู้ยืมเงิน และกระแสเงินสดที่จ่ายชำระหนี้สินจากการกู้ยืมเงิน หรือเงินปันผล

Positioning




หลายคนยังไม่รู้ว่าตัวเองมีศักยภาพอยู่ที่จุดไหน และยังสามารถพัฒนาได้อีกมากน้อยเท่าไหร่ หรือพูดง่ายๆว่ายังรู้จักตัวเองไม่ดีพอ


แล้วจะทำยังไงหล่ะ ถึงจะรู้จักตัวเองดีพอ?


ในมุมมองของผมเอง การที่คุณจะรู้จักตัวเองได้ คุณต้องตั้งคำถามกับตัวเองก่อน

1. คุณมีความสามารถทำอะไรได้บ้าง (ถนัดด้านไหน ไม่ถนัดอะไร)

2. คุณอยากจะทำอะไร (อะไรที่ทำแล้วจะมีความสุข อะไรที่คุณยินดีที่จะพัฒนาหรือเรียนรู้เพิ่มเติม อะไรที่คุณจะเสียดายหรือเสียใจมากถ้าชีวิตนี้คุณไม่ได้ทำ)

3. ตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่ (สิ่งที่ทำอยู่นี้ถูกต้องหรือยัง ดีที่สุดหรือยัง ใช่สิ่งที่เหมาะสมมั้ย ใช่สิ่งที่คุณต้องการมั้ย)

สุดท้ายเมื่อคุณลอง list คำตอบออกมา ผมว่าน่าจะช่วยทำให้คุณมองเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น ว่าจริงๆแล้ว ชีวิตของคุณอยู่ตรงจุดไหน และสิ่งที่คุณอยากจะทำ มันมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน หรือต้องใช้อะไรช่วยบ้างถึงจะทำให้ได้ตามเป้าหมายนั้นๆ


ถืิเป็นการวางแผนหรือ set up แผนที่การเดินทางสู่เป้าหมายได้ดี เพราะคุณจะมองเห็นภาพที่ใหญ่ขึ้น ว่าหากคุณอยากจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ตอนนี้คุณพร้อมหรือยัง มีกี่วิธี มีกี่ตัวช่วย


สุดท้ายเมื่อวางแผนทุกอย่างได้ชัดเจนแล้ว คุณจะทำหรือไม่ทำตามฝัน มันก็ขึ้นอยู่ที่ใจคุณเอง ว่าจะกล้าออกstartหรือยัง?


เอ้า!!! ลองดู ลุยเลย


- บ้าหุ้น -