Sunday, October 27, 2013

ชีวิต คือ การลงทุน

หากพูดถึงคำว่า "การลงทุน" ในมุมมองของผมจะหมายถึง

"การกระทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้ผลตอบแทนกลับมาอย่างน่าพอใจ ไม่ว่าผลตอบแทนนั้นจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม"

คนส่วนใหญ่มักจะมองที่ผลตอบแทนในรูปแบบของ "เงิน" เป็นหลัก 
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผลตอบแทนหลักที่ดีจริงๆ ควรเป็น "ความสุข" ต่างหาก

การไปเที่ยวพักผ่อน คือการลงทุน เพราะคุณต้องไป ถึงจะได้ความสุข ได้ประสบการณ์ ได้ความสนุกกลับมาจากทริปนั้น

การอ่านหนังสือ การสะสมของ การทำงาน การออกกำลังกาย การไปเรียน การฟังอบรม .......
ทุกๆอย่างคือการลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนอะไรสักอย่างกลับคืนมา

ทุกๆการกระทำ จะได้รับผลตอบแทนกลับมาในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายแข็งแรง รูปร่างดี ฉลาดขึ้น พูดได้เพิ่มอีกหนึ่งภาษา มีรายได้เสริม เป็นที่รู้จักมากขึ้น .........

สุดท้ายแล้วทุกๆผลตอบแทนนั้นล้วนแล้วแต่เพื่อตอบโจทย์ของคุณคือ เพื่อ "ความสุข"

ประเด็นที่ผมอยากจะบอกก็คือ

คิดจะทำอะไรสักอย่าง ให้ตั้ง "ความสุข" เป็นหลัก แล้วค่อยมองย้อนกลับมาว่าวิธีการคืออะไร เพราะนั่นจะทำให้คุณรู้ตัวอยู่ตลอดว่า ขนาดไหนที่เรียกว่า หย่อนเกินไป หรือ ตึงเกินไป

สุดท้ายแล้วพอคุณมีความสุขกับสิ่งที่คุณทำ คุณรักในสิ่งที่ทำ คุณก็จะสามารถทำสิ่งนั้นได้ดี และจะดีขึ้นไปเรื่อยๆอีก เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ผลตอบแทนอื่นๆ จะทยอยตามมาเองโดยอัตโนมัติ

ตอนนี้ผมมีความสุขมากกว่าเดิม ทั้งๆที่ผมตัดสินใจปฏิเสธเงินเดือนครึ่งแสน มารับเพียง 15,000 บาท เพราะงานในตอนนี้ทำให้ผมมองเห็นความก้าวหน้าและพัฒนาการที่ดีได้

ตอนนี้ผมมีความสุขมากกว่าเดิม แม้ว่างานปัจจุบันผมต้องทำงานแทบจะไม่มีวันได้หยุดเลยก็ตาม 

เหตุผลคือ งานส่วนใหญ่ที่ผมทำ มันคือ การพักผ่อนในแบบของผมนี่เอง ไม่ว่าจะเป็น การเขียนบทความการลงทุนให้คอลัมน์ใน magazine(ผมชอบเขียน ชอบอ่าน เลยทำให้สนุก), การคิดไอเดียงานที่แปลกใหม่ให้ลูกค้า(ผมชอบใช้ความคิด เหมือนเล่นเกมฝึกสมอง), การแต่งเพลง(แน่นอน ผมหลงรักในดนตรี), การลงทุน(แทบจะหลงรักเข้าเส้นเลือด)
และงานอื่นๆอีกมากมายที่ยังไม่ได้พูดถึงเช่นกัน

จะเห็นว่าผมทำงานหลายอย่างมาก แต่ทุกอย่างที่ผมเลือกทำ เป็นงานที่ผมรักและมีความสุขกับมัน 

ผมเลือก "ความสุข" มาก่อน "เงิน" 

อ่านมาถึงตรงนี้ อยากจะบอกว่าผมไม่ได้จะมาโลกสวย และไม่ได้บอกว่าเงินไม่สำคัญ แต่ที่ยกตัวอย่างให้เห็นคือ นอกจาก"เงิน"แล้ว ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามันยังมีรูปแบบอื่นอีกมากมาย เพียงแต่คุณจะมองเห็นมันรึเปล่า

และตอนนี้ผมก็มีความสุขมากกว่าเดิม เพราะ เดิมทีจาก "เงิน" ที่ผมให้ความสนใจเป็นรอง ตอนนี้มันกำลังกลับมาหาผมเองโดยอัตโนมัติจากสิ่งที่ผมเลือกทำทั้งหมด

เงินมันวิ่งเข้าหาคนที่มีปัญญา และเงินมันจะคงอยู่และงอกเงยต่อไปได้เมื่ออยู่กับคนที่มีปัญญาเช่นกัน ดังนั้นจงเลือกทำในสิ่งที่จะพัฒนาปัญญาและความสามรถของตัวเองได้ เดี๋ยวเงินมันก็ตามมาเอง ลองคิดดีๆนะครับ

แหม่ พูดซะดูดี เชื่อผมมั๊ย? ....................ไม่เชื่อ!!! ทำไงหล่ะ 

ก็ต้องลองทำดูสิครับ พูดมาได้ 555 เพราะผมลองมากแล้วนี่ไง ถึงเอามาเล่าให้ฟัง ถ้าไม่ลองจะรู้ได้ไง จริงมั๊ย?

กำลังใจ จาก "บุคคล"

คุณเคยลองถามตัวเองดูมั๊ยว่า

ทุกวันนี้ที่คุณต้องอดทนทำงานอย่างหนัก ต้องยอมเจอปัญหามากมาย
ต้องประหยัด ต้องขยัน ต้องอดหลับอดนอน ต้อง......เพื่อใคร?

หากคุณมี "คำตอบ" นั่นแปลว่า คุณมี "เป้าหมาย"

คุณไม่จำเป็นต้องไปบอกบุคคลเหล่านั้นหรือใครบนโลกนี้ให้รับรู้

คุณบอกกับ"ตัวเอง" ให้รับรู้และเข้าใจก็พอแล้ว

เพราะบุคคลเหล่านั้น
คือ "เป้าหมายที่ชัดเจน"
และเป็น "กำลังใจที่สำคัญ"

สำหรับผม วันนี้ผมมี"เป้าหมาย"ที่ชัดเจนแล้ว
สำหรับผม วันนี้ผมมี"กำลังใจ"ที่ดีแล้ว

และนั่นทำให้ผมมุ่งมั่นที่จะพยายามมากกว่าคนอื่นๆ 
ยอมที่จะขยันทำงานมากกว่าคนอื่น 
ยอมอดทนและลำบากมากกว่าคนอื่น 

แล้วพวกคุณหล่ะ หาสิ่งเหล่านี้เจอหรือยัง?

Thursday, October 24, 2013

บ้าหุ้น ทุนน้อย ร้อยสไตล์

จริงอยู่การเล่นหุ้นหรือลงทุนในหุ้น(แล้วแต่จะเรียก) มีวิธีเป็นร้อยๆ แต่สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่า วิธีนั้นเหมาะสมกับ ตัวคุณหรือไม่

ซึ่งการที่จะหาวิธีที่เหมาะสมได้ นอกจากการเลือกวิธีที่คุณถนัดแล้วมันก็ต้องวิเคราะห์จากไลฟ์สไตล์ของคุณเองด้วย

ขอยกตัวอย่างเป็นวิธีที่ผมใช้สักหนึ่งตัวอย่างละกัน

ผมเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเก็บของผม ผมได้แบ่งส่วนการลงทุนไว้ดังนี้ คือ ลงทุนยาวในหุ้นเติบโตและปันผลดีๆ 50% และไว้สำหรับเทรดระยะสั้นแนว technical 50% หรืออย่างละครึ่งนั่นเอง ซึ่งผมตั้งไว้ว่าหุ้นที่จะลงทุนในระยะยาวตอนแรก คงลงทุนไม่เกิน 2-3 ตัว แล้วถ้าอนาคตเงินเพิ่มขึ้นค่อยดูว่าจะเพิ่มจำนวนหุ้นดีมั้ยอีกที เช่นกัน วิธีเล่น technical ผมก็จะไม่ใส่เงินทั้งหมดไปในหุ้นตัวเดียว ผมจะแบ่งเล่น 2-3 ตัวเช่นกัน

สิ่งสำคัญในวิธีของผม คือ

1.       หุ้นที่ผมลงทุนระยะยาว นอกจากการวิเคราะห์พื้นฐานและราคาที่เหมาะสมแล้ว เวลาผมจะซื้อ ผมก็ใช้วิธีทาง technical มาช่วยในการหาจังหวะเข้าด้วยอยู่ดี

2.       กำไรจากการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นเงินปันผลจากหุ้นที่ลงทุนระยะยาว หรือ capital gain จากการเทรดระยะสั้น ผมจะไม่นำออกมาใช้ แต่จะเอาไว้เป็นทุนเพิ่มเติมในหุ้นที่จะลงทุนระยะยาวต่อไปเรื่อยๆ

3.       ผมเก็บเงินจากรายได้ทั้งหมด แบ่งส่วนไว้สำหรับลงทุนในหุ้นทุกๆเดือนอย่างสม่ำเสมอ


และนี่คือวิธีคร่าวๆของผม เมื่อถึงจุดหนึ่งที่พอร์ตโตขึ้น สัดส่วนต่างๆผมอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสม เช่น ผมอาจเปลี่ยนเป็น ลงทุนระยะยาว 70% ของพอร์ต และเทรดระยะสั้น 30% ของพอร์ต เป็นต้น


แล้วพวกคุณหล่ะครับ มีวิธีกันอย่างไรบ้าง?

Sunday, October 20, 2013

Technical style

ช่วงวันหยุด ผมใช้เวลาว่างในวันนี้ลองนั่งทำการบ้านทบทวนเรื่องของ Technical ที่ห่างหายมานานจนเกือบจะลืม
(นานๆจะแตะต้องหุ้นที เพราะหุ้นในพอร์ตตอนนี้มีแต่หุ้นที่ลงทุนแบบ VI เลยไม่ค่อยได้ดูกระดานบ่อยนัก)
ปกติแล้ว เล่นแนว technical นั้น มีหลายเครื่องมือมั่กมากกกกกกกก จะใช้ตัวไหนมันขึ้นอยู่กับว่าคุณถนัดเครื่องมือตัวไหนที่สุดนั่นแหล่ะ เอาหล่ะครับ ลองมาดูกัน ผมจะลองรวบรวมเครื่องมือบางอย่างมาใช้ให้ดูคร่าวๆละกัน ผมจะพยายามอธิบายถึงสไตล์และวิธีการใช้เครื่องมือแต่ละอันแบบหลากหลายหน่อยละกัน เพราะแต่ละวิธีแต่ละเครื่องมือถ้าใครถนัดแบบไหนและรู้จริงแบบไหน เอามาใช้มันก็ย่อมได้ผลที่ดีทั้งนั้น (ทำเงินได้เหมือนกันนั่นแหล่ะ)

(หมายเหตุ)
  1. ปกติก่อนเล่นจริงผมจะดูกราฟ SET INDEX ก่อนว่าแนวโน้มยังเป็นขาขึ้นอยู่หรือเปล่า (เพื่อป้องกันตัวหรือลดความเสี่ยงลง เนื่องจากมีผลต่อจิตวิทยาพอสมควร ถ้าเป็นขาขึ้นอยู่ ก็น่าเล่น แต่ถ้า SET INDEX เป็นขาลง ไม่ใช่ว่าเล่นไม่ได้นะ เล่นได้แต่อาจจะเล่นได้ลำบากกว่าเดิมแค่นั้นแหล่ะ)

  2.เพิ่มเติมจากข้อที่1. หุ้นส่วนใหญ่ที่ผมเลือกมักจะอยู่ใน SET50 ไม่ก็ SET100 ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นผมจะดูกราฟ SET50 และ SET100 เพื่อดูแนวโน้มควบคู่กันไปด้วย 

  3.ทุกครั้งที่ผมดูกราฟ ไม่ว่าจะ SET INDEX, SET100, SET50, INDUSTRY, หรือหุ้นรายตัว ผมจะเริ่มดูจาก TIME FRAME ที่กว้างกว่าเดิม เพื่อดูแนวโน้มภาพใหญ่ก่อนเสมอ เช่น ผมใช้กราฟ DAY ในการเล่น ผมก็จะดู กราฟWEEKเพื่อดูแนวโน้มในภาพใหญ่กว่าก่อนเสมอว่ายังคงเป็นขาขึ้นหรือเปล่า เหตุผลเดียวกันก็คือ จะได้เล่นได้ง่ายขึ้นกว่าเล่นตอนแนวโน้มขาลงนั่นเอง


เอาหล่ะทีนี้มาดูกัน ผมขอข้ามขั้นตอนในหมายเหตุทั้ง3ข้อไปเลยนะครับ อันนั้นให้ไปใช้เองตอนจะเล่นจริง รอบนี้ผมขอเริ่มที่ TIME FRAME DAY ที่จะใช้เทรดจริงเลยนะครับ ผมจะเน้นที่วิธีการใช้เครื่องมือแต่ละตัวแทน

















    

      ทีนี้มาดูเป็นช่วงๆ สังเกตุที่ตัวเลขสีแดงนะครับ

      ช่วงที่ 1. ผมเรียกว่าจุดเข้าซื้อ เพราะ ราคาตัดเส้น EMA ขึ้นมาและสามารถยืนอยู่เหนือเส้น EMA ได้ (ผมใช้ EMA10 เป็นพวกขาซิ่งนะครับ หึหึ)
      แล้วมาดู indicator ตัวแรกที่น่าสนใจคือ STO จะเห็นว่าอยู่ในบริเวณ oversold แล้ว หรือแปลว่า มีการขายมากเกินไป บวกกับเส้น signal line ตัดกันขึ้นไปด้วย น่าจะเป็นการยืนยันแนวโน้มได้ว่ากำลังจะกลับตัวเป็นขาขึ้นในไม่ช้า (ในกรณีนี้ ถ้าดูที่ MACD ด้านล่างสุด ก็จะเห็นว่าทำรูปแบบเดียวกันนั่นเอง) ส่วน RSI ทำท่ายกตัวสูงขึ้น จากที่ตกลงมาได้สักพักแล้ว เป็นสัญญาณบอกว่าแนวโน้มน่าจะจบขาลงแล้วเช่นกัน
      
      ช่วงที่ 2. อันนี้มาดูในเรื่องของทฤษฎี สามเหลี่ยมทองคำ จากรูปจะเห็นว่าราคาทำรูปทรงเป็นสามเหลี่ยมที่ผมลากเส้นกรอบเอาไว้ สุดท้ายราคาก็ทะลุกรอบสามเหลี่ยมนี้ลงด้านล่างลงมา ผมเรียกว่าจุดหนีตาย เพราะเมื่อไหร่ที่ราคาหลุดกรอบไปทางไหนได้นั้นมันมักจะไปแบบรุนแรงซาดิตส์ อย่างที่เห็นเป็นประจำ (ในทางตรงข้าม ถ้าราคาหลุดกรอบขึ้นไปด้านบน ก็แปลว่าราคามีโอกาสขึ้นต่อได้แรงเช่นกัน)

      ช่วงที่ 3. จะพูดถึงเรื่องของการเกิด DIVERGENCE ระหว่างราคากับ indicator (จริงๆในที่นี้ผมตีเส้นสีแดงให้ดูที่ราคากับ RSI เท่านั้น หากมองดีๆ STO ก็ทำ DIVERGENCE เช่นเดียวกัน แต่ผมลืมตีเส้นให้ครับ ขออภัย) เอาหล่ะ การเกิดสัญญาณ DIVERGENCE ในลักษณะของ ราคาทำ new low (lower low) แต่ indicator ไม่ทำ new low (higher low) ตามไปด้วย นั่นแปลว่ากำลังจะเกิดการกลับตัวของแนวโน้มในไม่ช้า และจากรูป ราคาที่ลงมาเรื่อยๆเมื่อเกิดสัญญาณ DIVERGENCE ดังกล่าวก็กลับตัวเป็นขาขึ้นทันที (บวกกับราคาตัดเส้น EMA10 ขึ้นไปได้ด้วย ยิ่งสามารถยืนยันแนวโน้มว่าเป็นขาขึ้นได้เช่นกัน)

     ช่วงที่4. เนื่องจากในช่วงที่3 ผมลืมตีเส้นสีแดงบ่งบอกสัญญาณ DIVERGENCE ของ STO ให้ดู ช่วงนี้ผมเลยเอามาให้ดูแทน เป็นรูปแบบเดียวกันนะครับ คือ ราคาทำ new low (lower low) แต่ indicator (STO) ไม่ทำ new low (higher low) ตามไปด้วย นั่นแปลว่ากำลังจะเกิดการกลับตัวของแนวโน้มในไม่ช้า เช่นเดียวกัน
    
     ** หมายเหตุ**: เรื่องของ DIVERGENCE ผมขออธิบายเพิ่มเติมหน่อยละกัน เพราะหลายคนยังคงสับสนอยู่ จริงๆแล้ว DIVERGENCE มี 2 แบบที่ใช้กันคือ Bullish divergence และ Bearish divergence ซึ่งแต่ละแบบจะใช้วิธีดูต่างกันนะครับ
     แบบแรก Bullish Divergence (ก็คือแบบที่ผมยกตัวอย่างมาให้ดูนี่แหล่ะ) เกิดเมื่อ ราคาทำ new low (lower low) แต่ indicator ไม่ทำ new low (higher low) ตามไปด้วย มักเกิดขึ้นหลังจากที่ราคาลงมาได้สักพักแล้วกำลังจะเกิดการกลับตัวเป็นขาขึ้นนั่นเอง ***เน้น*** รูปแบบนี้ดูที่ low นะครับ
    แบบที่สอง Bearish Divergence จะแตกต่างตรงที่ ราคาทำ new high แต่ indicator ไม่ทำ new high ตามไปด้วย มักจะเกิดช่วงที่ราคาขึ้นมาได้สักพักแล้วกำลังจะเกิดการกลับตัวเป็นขาลงนั่นเอง ***เน้น***รูปแบบนี้ดูที่ high นะครับ

     ช่วงที่ 5. อันนี้ผมจะแสดงให้ดูถึงความยากลำบากในการเทรดช่วงที่หุ้นทำ side way จากรูป หากใครใช้ EMA เป็นหลักในการเทรด จะเห็นว่ามันเล่นยากพอสมควร(ในวงกลม) เพราะจุดแรกที่ราคามันตัดขึ้นแต่แท่งเทียนเป็นสีแดง2แท่งติด(แอบอันตราย) แถมแท่งต่อมาก็ตัดลงซะงั้น ไม่จบแค่นี้ แท่งต่อไปตัดขึ้นไปได้อีก ถ้าเล่นแบบนี้(ดูแต่ EMA) เป็นผมย้ายไปเล่นตัวอื่นแทนฮะ ปวดกบาล
     แต่........ถ้าเราใช้ indicator ตัวอื่นๆมาช่วยหล่ะ มาดูกัน จากรูป STO เจ้าพ่อเครื่องมือแห่งช่วง side way หากใครใช้เครื่องมือนี้มาช่วยด้วย การเทรดก็น่าจะง่ายขึ้น เพราะซื้อที่จุด oversold และเส้น signal line ตัดขึ้น สุดท้ายเราก็ไปขายที่เขต overbought และเส้น signal line ตัดลง แค่นี้ก็เล่นรอบได้กำไรมากินขนมแล้วครับ
     ยัง.........ยังไม่จบเท่านี้ มาดูกันต่อ ถ้าผมใช้ RSI มาช่วยประกอบการตัดสินใจหล่ะ ลองดูนะ RSI ทำตัวยกสูงขึ้น ผมเลยลอง adapt การใช้ trend line มาใส่ใน RSI ซะเลย 555 ตีเลยครับที่จุดต่ำสุดลากไปเลยเป็นแนวรับ เมื่อหลุดแนวรับก็ขาย หนีตายทัน อิอิ
     ส่วน MACD จริงๆก็ทำรุปแบบเดียวกันนะ ตัดขึ้นซื้อ ตัดลงขาย เท่านั้นแหล่ะ มีตังกินขนมแล้ว

     ทั้งหมดก็เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องมือในการเทรดยางส่วนนะครับ หวังว่าจะเอาไปประยุกธ์ใช้และฝึกฝนให้เข้ากับวิธีของแต่ละคนตามแนวทางที่ถนัดได้ หมั่นฝึกฝนอยู่บ่อยๆนะครับ เดี๋ยวก็เก่งเอง

     -บ้าหุ้น-